ในการกล่าวปราศรัยในการประชุม นายกรัฐมนตรีเหงียนซวนฟุ๊กได้ชื่นชมจังหวัดบากเลียวที่ได้สามารถแสวงหาแนวทางการพัฒนาเพื่อแก้ไขอุปสรรคต่างๆ โดยเฉพาะในสภาวการณ์ที่ต้องเผชิญความเสียหายจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ จังหวัดได้พยายามเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจ พยายามจัดเก็บภาษีและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศหรือเอฟดีไอเพื่อให้มีเขตเพาะเลี้ยงกุ้งที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและรักษาสวัสดิการสังคม แต่ต้องเร่งเบิกจ่ายงบก่อสร้างโครงสร้งพื้นฐาน ผลักดันการสร้างฐานะใหม่และการฝึกอบรมบุคลากรเพื่อสนับสนุนการพัฒนา สำหรับข้อเสนอเกี่ยวกับการก่อสร้างเขตการเกษตรที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อพัฒนาการเลี้ยงกุ้งในจังหวัดบากเลียว นายกรัฐมนตรีเหงียนซวนฟุ๊กกำชับว่า “ผมเห็นด้วยกับแผนการก่อสร้างเขตการเกษตรนี้เพื่อพัฒนาเครื่องหมายการค้าให้แก่กุ้งของเวียดนามแต่ก็ต้องให้ความสนใจถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วย กระทรวงการเกษตรและพัฒนาชนบท กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงการคลังและกระทรวงการวางแผนและการลงทุนต้องเน้นให้ความช่วยเหลือเพื่อให้แผนการนี้ประสบความสำเร็จในท้องถิ่นประสบความลำบากเหมือนจังหวัดบากเลียว”

ถ้าหากเขตการเกษตรนี้ได้รับการก่อสร้าง จะสามารถเพิ่มปริมาณกุ้งได้ 10 เท่า คือประมาณ 100 – 150 ตันต่อเฮ็กต้า ในที่ประชุม นายกรัฐมนตรีเหงียนซวนฟุ๊กยังสั่งให้กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมเสนอมาตรการแบบบูรณาการเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศให้แก่เขตที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง โดยเฉพาะจังหวัดบากเลียว รวมไปถึงโครงการรับมือปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในระยะกลาง

ในเช้าวันเดียวกัน นายกรัฐมนตรีเหงียนซวนฟุ๊กได้เป็นประธานการประชุมกับผู้บริหารจังหวัดก่าเมา โดยกำชับว่า จังหวัดก่าเมาต้องมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานในการเกษตรเพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชน ต้องส่งเสริมจุดแข็งของจังหวัดในการเพราะเลี้ยงและส่งออกกุ้งที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ และการท่องเที่ยวเชิงสวนผลไม้และนิเวศเพื่อพัฒนาเศษฐกิจสังคมของจังหวัด จัดทำการวางแผนพร้อมกับการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ผลักดันการสร้างสรรค์ชนบทใหม่ เน้นพัฒนาแหล่งบุคลากร ปฏิรูปการบริหารราชการ รักษาความมั่นคงและความเป็นระเบียบเรียบร้อยทางสังคม โดยเฉพาะความปลอดภัยให้แก่ชาวประมง ส่งเสริมการสร้างฐานะใหม่ พัฒนาสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม ส่งเสริมการลงทุนเพื่อดึงดูดนักลงทุนมากขึ้น.