คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจัดการประชุมฉุกเฉินเกี่ยวกับความตึงเครียดที่ยืดเยื้อในตะวันออกกลาง
(VOVWORLD) - เมื่อบ่ายวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ณ นครนิวยอร์ก คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้จัดการประชุมฉุกเฉินตามข้อเสนอของรัสเซีย เพื่อหารือเกี่ยวกับความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในตะวันออกกลาง
ควันลอยขึ้นหลังการโจมตีทางอากาศในเมืองโมซุล ประเทศอิรัก (VNA) |
ในการประชุม นาง โรสแมรี ดิคาร์โล รองเลขาธิการใหญ่สหประชาชาติที่ดูแลด้านการเมืองและการสร้างสรรค์สันติภาพได้เตือนถึงการโจมตีที่เพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่ในตะวันออกกลาง และเรียกร้องให้มีปฏิบัติการอย่างเร่งด่วนเพื่อคลี่คลายความตึงเครียด อีกทั้ง เผยว่า นาย อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติได้เตือนหลายครั้งเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเพิ่มความตึงเครียดทางทหารและการคำนวณที่ผิดพลาด การปะทะระหว่างกลุ่มฮามาสกับอิสราเอลทำให้ภูมิภาคนี้อยู่ในภาวะอันตราย โดยการโจมตีเกิดขึ้นเกือบทุกวันทั่วตะวันออกกลาง ซึ่งรวมถึงการโจมตีประมาณ 165 ครั้งใส่สถานที่ต่างๆของสหรัฐในซีเรียและอิรัก และการโจมตีตอบโต้ทางอากาศของสหรัฐใส่ซีเรียและอิรัก
นอกจากนี้ ในการประชุม นาย จาง จุน เอกอัครราชทูตจีนประจำสหประชาชาติได้ย้ำว่า ปัญหาที่สำคัญในปัจจุบันคือ ยังไม่มีคำสั่งหยุดยิงในฉนวนกาซ่า ทุกประเทศต้องให้คำมั่นเกี่ยวกับการค้ำประกันเสถียรภาพในภูมิภาค ส่วนนาง บาร์บารา วูดวาร์ด เอกอัครราชทูตและหัวหน้าคณะผู้แทนถาวรของอังกฤษประจำสหประชาชาติได้ประกาศว่า อังกฤษ “สนับสนุนอย่างเต็มที่” ต่อทุกความพยายามเพื่อรักษาและธำรงสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ รวมทั้งสันติภาพและความมั่นคงในอิรักและซีเรีย
ในวันเดียวกัน นาย อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติได้ประกาศการตัดสินใจจัดตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อประเมินสำนักงานบรรเทาทุกข์และจัดหางานของสหประชาชาติสำหรับผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์หรือ UNRWA โดยมีหน้าที่หลักคือเพื่อประเมินว่า UNRWA จะพยายามอย่างสุดความสามรถเพื่อค้ำประกันความเป็นกลางและมีท่าทีต่อข้อกล่าวหาว่ามีการละเมิดอย่างร้ายแรงหรือไม่
ในขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาหรือ OECD ได้ปรับขึ้นการคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจโลกในปีนี้ แต่เตือนว่า การปะทะในตะวันออกกลางและการชะงักงันของกิจกรรมการขนส่งในทะเลแดงมีความเสี่ยงที่จะทำให้ดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้น โดยการเติบโตของเศรษฐกิจโลกคาดว่าจะลดลงจากร้อยละ 3.1 เมื่อปีที่แล้วลงเหลือร้อยละ 2.9 ในปีนี้ ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.7 เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว.