นายกรัฐมนตรี เหงียนซวนฟุ๊กเรียกร้องให้ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจเสนอความคิดเห็นเพื่อดึงดูดเงินทุน
(VOVWORLD) -เช้าวันที่ 9 กรกฎาคม ณ สำนักรัฐบาล นายกรัฐมนตรี เหงียนซวนฟุ๊ก ในฐานะประธานสภาให้คำปรึกษาด้นนโยบายการเงินแห่งชาติได้เป็นประธานการประชุมของสภาฯเพื่อประเมินการปฏิบัติงานในเวลาที่ผ่านมาและมอบหมายหน้าที่ในเวลาข้างหน้า
นายกรัฐมนตรี เหงียนซวนฟุ๊กเรียกร้องให้ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจเสนอความคิดเห็นเพื่อดึงดูดเงินทุน |
ในการกล่าวปราศรัยในการประชุม นายกรัฐมนตรีได้ย้ำถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่กำลังรุงแรงในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศหุ้นส่วนรายใหญ่ของเวียดนาม เวียดนามสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากมีนโยบายที่เหมาะสมและมีการตัดสินใจอย่างถูกต้องและทันการณ์ ซึ่งทำให้ไม่มีการแพร่ระบาดภายในประเทศในตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา การขยายตัวของเศรษฐกิจในครึ่งปีแรกบรรลุร้อยละ 1.81 ซึ่งแม้จะต่ำที่สุดในรอบ 10 ปีแต่ยังอยู่ในระดับสูงของภูมิภาค ซึ่งเป็นการพิสุจน์ให้เห็นถึงการปฏิบัติมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดพร้อมกับการพัฒนาเศรษฐกิจและรักษาสวัสดิการอย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อย้ำถึงเป้าหมายสำคัญของเวียดนามคือธำรงความมีเสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาค นายกรัฐมนตรีได้กำชับว่า เศรษฐกิจเวียดนามยังมีความเสียงมาก โดยเฉพาะสินค้าจำเป็น เช่น น้ำมันดิบและเนื้อหมูที่ราคายังมีความผันผวนมาตั้งแต่ต้นปี ดังนั้น จำเป็นต้องควบคุมดัชนีราคาผู้บริโภคให้ต่ำกว่าร้อยละ 4 ควบคู่กันนั้นต้องใช้ศักยภาพของปีงบประมาณและการเงินเพื่อผลักดันการพัฒนา ผลักดันการเบิกจ่ายเงินลงทุนภาครัฐและต้องมีมาตรการกระตุ้นการส่งออกและอุปโภคบริโภคภายในประเทศ
นายกรัฐมนตรีกำชับให้สมาชิกของสภาฯ เสนอมาตรการเพื่อผลักดันการปฏิรูประเบียบราชการ อำนวยความสะดวกให้แก่การพัฒนาและเสนอกลไกนโยบายเพื่อผลักดันการผลิตประกอบธุรกิจ เศรษฐกิจดิจิทัลและรูปแบบการประกอบธรุกิจใหม่ๆ เป็นต้น
สำหรับแผนการขยายตัวของเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีสรุปว่า ทางสภาฯได้เห็นพ้องพยายามให้การขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้บรรลุร้อยละ 3-4 และควบคุมให้ภาวะเงินเฟ้อต่ำกว่าร้อยละ 4 แต่กระทรวงวางแผนและการลงทุน กระทรวงและหน่วยงานต่างๆต้องตรวจสอบและอัพเดทสถานการณ์อย่างต่อเนื่องเพื่อสามารถวางแผนการขยายตัวประจำไตรมาสและมีมาตรการแก้ไขอย่างพร้อมเพรียงเพื่อประเมินการปฏิบัติและมีนโยบายให้เหมาะสมต่อปัญหาที่เกิดขึ้น “เป้าหมายของปี 2020 และต้นปี 2021 คือการขยายตัวของสินเชื่อเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 10 โดยพยายามให้หนี้สาธารณะและการขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 3-4 ของจีดีพีเท่านั้น เราต้องเตรียมความพร้อมเพื่อสนับสนุนสถานประกอบการ รวมทั้งสถานประกอบการรายใหญ่เพื่อยืนหยัดปกป้องระบบสถานประกอบการทั้งหมดและปกป้องหน่วยงานที่สำคัญๆ พิจารณาการลดดอกเบี้ยต่อไปและธนาคารควรแบ่งเบาความเดือดร้อนของสถานประกอบการและประชาชนต่อไป ประหยัดการใช้จ่ายโดยเฉพาะในการจัดการประชุม การสัมมนา เป็นต้นเพื่อให้การช่วยเหลือสถานประกอบการและประชาชน”.