55 ปีความสัมพันธ์เวียดนาม–กัมพูชา: สะพานเชื่อมไมตรีให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น
ภาคภาษากัมพูชา -  
(VOVWORLD) - แม้ระยะเวลา 55 ปีที่ผ่านมาจะเป็นแค่ช่วงเวลาอันสั้นสำหรับประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างเวียดนามกับกัมพูชา แต่ก็ถือเป็นช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญเป็นพิเศษ ซึ่งได้เกิดขึ้นและถูกหล่อเลี้ยงด้วยการเสียสละเลือดเนื้อ การมีส่วนร่วมและความพยายามอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยจากรุ่นสู่รุ่นของทั้งสองประเทศ
ท่านผู้ฟังที่เคารพ หลังจากที่เวียดนามและกัมพูชาได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการฑูตอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ปีค.ศ. 1967 ประชาชนของทั้งสองประเทศหลายต่อหลายรุ่นได้อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่และร่วมสุขร่วมทุกข์ในภารกิจการต่อสู้กู้ชาติ สร้างประเทศให้มีความสงบสุขและความอิ่มหนำผาสุก เพื่อมุ่งสู่ความเจริญก้าวหน้าในอนาคต ด้วยความสัมพันธ์และมิตรไมตรีอันใกล้ชิด พร้อมความช่วยเหลือจุนเจือกันระหว่างประชาชน ซึ่งถือเป็นสะพานเชื่อมประวัติศาสตร์จากอดีตสู่ปัจจุบันที่มีส่วนช่วยเสริมเสร้างความสามัคคีระหว่างสองประเทศ
นายฟาน ซวน เหงีย อดีตผู้เชี่ยวชาญกองทัพ A50 ของนครโฮจิมินห์ |
ย้อนอดีตกลับสู่ช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ เมื่อวันที่ 7 มกราคม ปี ค.ศ. 1979 ที่กองทหารอาสาเวียดนามและกองกำลังผู้รักชาติกัมพูชาได้โค่นล้มรัฐบาลพอลพตที่มี่นายเอียง ซารี เป็นผู้นำ โดยในช่วงเวลาระหว่างปี ค.ศ. 1979-1989 นั้น ตามคำเรียกร้องของพรรคปฏิวัติประชาชนกัมพูชา มีบรรดาผู้เชี่ยวชาญชาวเวียดนามนับหมื่นคนเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ตามพันธกรณีระหว่างประเทศ ยืนเคียงข้างชาวกัมพูชาในภารกิจการโค่นล้มระบอบฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เขมรแดง มุ่งสู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจ-สังคม พร้อมสร้างชีวิตใหม่อย่างสันติสุข นายฟาน ซวน เหงีย อดีตผู้เชี่ยวชาญกองทัพ A50 ของนครโฮจิมินห์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มนายทหารดีเด่นที่ได้รับการคัดเลือกเข้าเป็นสมาชิกของคณะผู้เชี่ยวชาญทหาร 72 – กองทัพทหารชายแดน เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ชาวกัมพูชาในภารกิจการจัดตั้งรัฐบาลและกองกำลังทหาร พร้อมขับไล่กองกำลังพลพตที่ยังหลงเหลืออยู่ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 1972 ได้เล่าเรื่องราวแห่งความทรงจำอันสุดซึ้งด้วยความประทับใจว่า
“มีทหารจากกองทัพทหารชายแดนกว่า 6 พันนายที่พลีชีพ ซึ่งนับเป็นการเสียสละที่รุ่งโรจน์ในภารกิจการปกป้องพื้นที่เขตชายแดน ปกป้องเอกราชและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศเวียดนามจากแดนไกล ตัวผมเองรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากเมื่อได้หวนคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาในอดีต และต่างภาคภูมิใจที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกับกองกำลังพลเรือนและทหาร พร้อมให้ความช่วยเหลือเพื่อนบ้านสร้างรัฐบาลที่เข้มแข็งมาจนถึงทุกวันนี้”
นาย Sok Dareth กงสุลใหญ่กัมพูชาประจำนครโฮจิมินห์ |
ภายหลังช่วงเวลาแห่งการปลดปล่อยกัมพูชาจากระบอบฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เขมรแดงเมื่อกว่า 43 ปีก่อน ประชาชนชาวกัมพูชายังคงระลึกถึงคุณความดีและการเสียสละอันยิ่งใหญ่ของกองทหารอาสาเวียดนาม ในระหว่างการพบปะและพูดคุยกับบรรดาอดีตผู้เชี่ยวชาญเวียดนาม นาย Sok Dareth กงสุลใหญ่กัมพูชาประจำนครโฮจิมินห์ ได้กล่าวด้วยความปลื้มปิติว่า
“ด้วยความช่วยเหลือและสนับสนุนอย่างเต็มกำลังจากพรรค รัฐบาล และประชาชนเวียดนาม ได้ช่วยให้ประเทศและประชาชนกัมพูชา รวมถึงครอบครัวผมเอง ได้มีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ ไม่งั้นคงจะไม่ประสบผลสำเร็จอย่างที่คาดหวังไว้ นี่ถือเป็นการยืนยันและเป็นความจริงทางประวัติศาสตร์ โดยพวกเราต่างสำนึกในบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของกองทหารอาสาและกลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่สละชีพเพื่อช่วยรัฐบาลกัมพูชาฟื้นฟูและพัฒนาประเทศ และพร้อมที่จะเดินหน้าส่งเสริมความสามัคคี มิตรภาพ และความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศในเวลาข้างหน้า”
ยิ่งไปกว่านี้ หลังเกษียณอายุราชการ ยังมีอดีตทหารอาสาผ่านศึกและผู้เชี่ยวชาญชาวเวียดนามจำนวนมากที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสมาคมมิตรภาพเวียดนาม-กัมพูชา โดยเฉพาะการรณรงค์กระบวนการ “หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งมิตรภาพ” ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 ที่รวมตัวกลุ่มทหารผ่านศึก ผู้เชี่ยวชาญ และบรรดาเจ้าหน้าที่เวียดนามหลายคน เพื่อให้กลุ่มนักเรียนชาวกัมพูชาได้รับการอุปถัมภ์ พร้อมให้การสนับสนุนพวกเขาในการศึกษาในเวียดนาม ตลอดจนช่วยให้เข้าใจถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันระหว่างเวียดนามกับกัมพูชาได้มากขึ้น เพื่อมีส่วนช่วยในการสานสัมพันธ์และเสริมสร้างมิตรไมตรีระหว่างทั้งสองประเทศ นาย Chun Moeng อดีตนักศึกษากัมพูชาที่มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮานอย ซึ่งปัจจุบันเป็นพนักงานของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในกรุงพนมเปญ เผยว่า
“ในตลอดช่วงเวลาที่ได้ศึกษาในเวียดนาม สิ่งที่ผมได้รับไม่ใช่แค่ความรู้ที่มีค่าจากคณาจารย์และประสบการณ์ใหม่ๆ ในชีวิตเท่านั้น แต่ยังมีความรัก ความเมตตาและการแบ่งปันจากพ่อแม่บุญธรรม ครูอาจารย์ เพื่อนๆ รวมถึงความใส่ใจขององค์กรและหน่วยงานต่างๆ ของเวียดนามด้วย ถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับกัมพูชายังคงมีความท้าทายที่หลงเหลือจากประวัติศาสตร์ แต่ความคิดของบางคนที่ว่าประเทศนี้ไม่ชอบประเทศนั้น ถือเป็นความคิดที่ผิดเพี้ยนและเห็นแก่ตัว ทั้งสองประเทศมีข้อดีหลายประการในการร่วมมือกันพัฒนาทั้งในด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว ส่วนบทบาทของคนรุ่นใหม่อย่างพวกเราคือ หาวิธีจัดการความท้าทายต่างๆ เหล่านั้นให้ได้อย่างกลมกลืน พร้อมส่งเสริมศักยภาพและข้อได้เปรียบต่างๆ เพื่อนำพาประชาชนของทั้งสองประเทศก้าวไปสู่อนาคตที่สดใส”
นายเหงวียน วัน โด๋ หัวหน้าผู้แทนของสถานีวิทยุเวียดนามหรือ VOV ประจำประเทศกัมพูชา |
ในตลอดช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์แห่งความสัมพันธ์เวียดนาม-กัมพูชา ประชาชน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่นั้น มีบทบาทที่สำคัญเป็นอย่างมาก ทั้งในช่วงสงครามที่ต่อสู้กับศัตรูผู้รุกรานในอดีตและในกระบวนการพัฒนาประเทศในช่วงหลัง โดยรัฐบาลทั้งสองฝ่ายต่างมอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนของทั้งสองประเทศเป็นประจำทุกปี ซึ่งในนั้นมีอดีตนักศึกษาทั้งชาวเวียดนามและกัมพูชาจำนวนมากที่กำลังทำงานและดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ในหน่วยงานภาครัฐ เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงรักษาความมั่นคงทั่วไป กระทรวงการต่างประเทศ หรือหน่วยงานสื่อสารมวลชนระดับประเทศ นายเหงวียน วัน โด๋ หัวหน้าผู้แทนของสถานีวิทยุเวียดนามหรือ VOV ประจำประเทศกัมพูชา รู้สึกภูมิใจกับการได้มีส่วนร่วมต่อการเสริมสร้างมิตรภาพและความสามัคคีระหว่างสองประเทศ
“ก่อนหน้านี้ เมื่อได้มีโอกาสทำงานในส่วนกระจายเสียงภาคภาษาเขมรและหนังสือพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ พวกเราพยายามหาวิธีถ่ายทอดข่าวสารและเหตุการณ์ รวมถึงนโยบายต่างๆ ที่สำคัญของเวียดนามให้แก่ผู้ฟังและผู้อ่านในกัมพูชาด้วยภาษาเขมร เพื่อช่วยให้พวกเขามีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับประเทศ ผู้คน และวัฒนธรรมของเวียดนาม ปัจจุบัน เมื่อได้เป็นผู้สื่อข่าวสถานีวิทยุเวียดนามประจำประเทศกัมพูชาแล้ว ผมเองก็ต้องเกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อนำเสนอเหตุการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมในกัมพูชาให้กับชาวเวียดนามอย่างรวดเร็วและถูกต้อง เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจกันและความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศให้มากขึ้น ส่วนในการพบปะระดับสูงทุกครั้ง คณะผู้บริหารของเวียดนามและกัมพูชาต่างย้ำว่า งานด้านการสื่อสารมวลชนนั้นมีบทบาทที่สำคัญอย่างมาก เพราะช่วยให้ประชาชนของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงมิตรภาพ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และความร่วมมือในทุกด้านระหว่างเวียดนามกับกัมพูชาได้อย่างครอบคลุม”
ทั้งนี้ แม้ระยะเวลา 55 ปีที่ผ่านมาจะเป็นแค่ช่วงเวลาอันสั้นสำหรับประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างเวียดนามกับกัมพูชา แต่ก็ถือเป็นช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญเป็นพิเศษ ซึ่งได้เกิดขึ้นและถูกหล่อเลี้ยงด้วยการเสียสละเลือดเนื้อ การมีส่วนร่วมและความพยายามอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยจากรุ่นสู่รุ่นของทั้งสองประเทศ ด้วยความรักใคร่ ความสามัคคี และความช่วยเหลือจุนเจือกันระหว่างทั้งสองประเทศนั้นถือเป็นรากฐานอันแข็งแกร่งที่ช่วยผลักดันให้ทั้งสองประเทศยืนเคียงข้างกันเพื่อฟันฟ่าอุปสรรคและความท้าทายต่างๆ เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับกัมพูชาให้นับวันพัฒนาขึ้นสู่ขั้นสูงใหม่./.
ภาคภาษากัมพูชา