(VOVWORLD) - 1 ปีหลังเกิดเหตุปะทะระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในฉนวนกาซาได้ส่งผลที่ร้ายแรงต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งบานปลายไปยังแนวร่วมอื่นๆ สร้างความแตกแยกในโลกและทำให้ทั้งภูมิภาคตะวันออกกลางตกอยู่ในสภาวการณ์ที่วุ่นวายเป็นอย่างมาก
เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมปีที่แล้ว กลุ่มฮามาสได้เปิดการโจมตีใส่สถานที่หลายแห่งในภาคใต้ของอิสราเอล ส่งผลให้ทหารและประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตกว่า 1,100 ราย พร้อมทั้งจับตัวประกันกว่า 250 คน อิสราเอลได้ทำการตอบโต้ใส่ฉนวนกาซา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้ความรุนแรงที่นับวันเลวร้ายมากขึ้นในตะวันออกกลาง
ผลร้ายที่รุนแรง
เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ก่อนครบรอบ 1 ปีที่เกิดการปะทะในฉนวนกาซา สหประชาชาติได้เปิดเผยข้อมูลว่า การปะทะได้ส่งผลให้มีประชาชนผู้บริสุทธิ์ปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาเสียชีวิตเกือบ 42,000 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสตรีและเด็ก และมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บอีกเกือบ 100,000 คน ประชากรในฉนวนกาซาเกือบทั้งหมด 2.3 ล้านคนต้องทิ้งบ้านเรือนเพื่ออพยพ โครงสร้างพื้นฐานในฉนวนกาซาเกือบร้อยละ 80 ถูกทำลาย ระบบโรงเรียน โรงพยาบาล น้ำประปา ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ปริมาณเศษซากจากโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่ถูกทำลายอยู่ที่ 42 ล้านตัน สูงกว่า 14 เท่าเมื่อเทียบกับปริมาณเศษซากในกาซาในตลอด 15 ปีที่ผ่านมา การปะทะที่ยึดเยื้อมานานและการขนส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์ถูกขัดขวางโดยตลอดก็ส่งผลให้ประชาชนในฉนวนกาซานับล้านคนตกเข้าสู่ภาวะอดอยาก
เมื่อประเมินสถานการณ์มนุษยธรรมในฉนวนกาซา ประเทศและองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ เช่น สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติหรือ OHCHR องค์การอนามัยโลกหรือ WHO โครงการอาหารโลกหรือ WFP ต่างให้ข้อสังเกตุว่า วิกฤต์ด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซาเป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมรับได้ เพราะไม่เพียงแต่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากเท่านั้น หากยังเป็นการเพิกเฉยต่อกฎหมายสากลและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ในสารที่ส่งถึงประชาชนหลัง 1 ปีที่เกิดการปะทะในฉนวนกาซา นาย อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติได้แสดงความคิดเห็นว่า สถานการณ์ในฉนวนกาซาได้เกินกว่าความยอมรับของทุกฝ่ายจึงต้องการยุติทันที
“การปะทะที่เกิดขึ้นหลังการโจมตีที่นองเลือดเมื่อ 1 ปีก่อนได้ส่งผลให้ประชาชนปาเลสไตน์และชาวเลบานอนในฉนวนกาซาเสียชีวิตและมีความปวดร้าวเป็นอย่างมาก ถึงเวลาแล้วที่ต้องปล่อยตัวประกันและยุติการสู้รบระหว่างกัน ยุติความปวดร้าวทั่วไปในภูมิภาค เป็นช่วงเวลาแห่งสันติภาพ กฎหมายและมโนธรรมระหว่างประเทศ”
ไม่เพียงแต่ทำลายฉนวนกาซาเท่านั้น การปะทะยังส่งผลให้อิสราเอลตกเข้าสู่ภาวะที่ยากลำบาก โดยนอกจากส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,200 คนและมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเกือบ 10,000 คนในตลอด 1 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจอิสราเอลก็ได้รับผลเสียหายเป็นอย่างมาก โดยธนาคารกลางอิสราเอลได้พยากรณ์ว่า ถ้าหากการปะทะยังคงยึดเยื้อถึงปลายปีหน้า ค่าใช้จ่ายสำหรับสงครามของอิสราเอลจะเพิ่มขึ้นถึง 6 หมื่น 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 12 ของจีดีพีหรือมากกว่านั้น ซึ่งถือเป็นการต่อสู้ที่มีค่าใช้จ่ายแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล ส่วนเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF ได้ลดการคาดการณ์เกี่ยวกับการขยายตัวของอิสราเอลในปีนี้เหลือเพียงร้อยละ 1-1.9 หรือ 1ใน3 เมื่อเทียบกับการคาดการณ์เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมปีที่แล้ว
การปะทะบานปลาย
การปะทะได้บานปลายนอกภูมิภาคฉนวนกาซาและกำลังย่างเข้าสู่ภาวะที่เลวร้ายที่สุดที่ผู้สังเกตการณ์เคยออกคำเตือนคือ มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดสงครามเต็มรูปแบบในตะวันออกกลาง โดยปัจจุบันนี้ ได้บานปลายไปยังเลบานอนเนื่องจากกองทัพอิสราเอลได้เพิ่มการโจมตีทางอากาศและเปิดยุทธนาการโจมตีทางบกในภาคใต้ของเลบานอนเพื่อทำลายกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญของกลุ่มฮามาส การต่อสู้ในเลบานอนในตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาได้ส่งผลให้มีชาวเลบานอน 1 ล้านคนต้องละทิ้งบ้านเรือนอพยพและมีสัญญาณที่ไม่สามารถควบคุมได้ ยิ่งไปกว่านั้น อิสราเอลและอิหร่านก็ใกล้จะเกิดการสู้รบในขอบเขตใหญ่ โดยในตลอด 1 ปีที่ผ่านมา สองประเทศที่เป็นฝ่ายศัตรูกันและ 2 ประเทศมหาอำนาจในด้านทหารของภูมิภาคได้ข้าม“กำแพง” ที่มีอยู่ในหลายทศวรรษที่ผ่านมาด้วยการโจมตีทางอากาศใส่กัน ส่งผลให้มีความเป็นไปได้สูงที่หลายประเทศและกองกำลังในภูมิภาคตกเข้าสู่สงครามเต็มรูปแบบ
นาง Karima Laachir ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาอาหรับและมุสลิมสังกัดมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียได้ให้ข้อสังเกตว่า กระแสความรุนแรงที่กำลังทวีมากขึ้นในตะวันออกกลางได้แสดงให้เห็นว่าประชาคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะสหประชาชาติยังไม่สามารถแสวงหาทางออกให้แก่ปัญหาดังกล่าวได้ โดยเฉพาะอิสราเอลและบรรดาประเทศตะวันตก ซึ่งสภาวการณ์ในปัจจุบันทุกฝ่ายต้องเปลี่ยนแปลงความคิดในด้านความมั่นคงระยะยาวให้แก่ภูมิภาคทันทีก่อนที่จะไม่มีทางออกให้แก่ปัญหา
“สิ่งที่สำคัญคือผู้นำทุกคนต้องตระหนักได้ดีว่า ไม่สามารถใช้ระเบิดเพื่อสร้างสันติภาพและความมั่นคงได้ เพราะว่า ถ้าเปิดการโจมตีใส่ประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ ผลกระทบที่ตามมาในระยะยาวจะอันตรายมาก ดังนั้น ไม่สามารถหารือเกี่ยวกับความมั่นคงของอิสราเอลถ้าหากไม่หารือเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เลบานอน จอร์แดนและอียิปต์ โดยเฉพาะคือ ถ้าไม่มีการปลดปล่อยชาวปาเลสไตน์ให้เป็นอิสระ”
ส่วนนาย Elie Barnavi อดีตเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำฝรั่งเศสก็แสดงความคิดเห็นว่า ภายหลัง 1 ปีที่เกิดการปะทะในฉนวนกาซา ยุทธนาการทางทหารต่างๆ ทำให้สถานการณ์ความมั่นคงในอิสราเอลเลวร้ายมากขึ้นเนื่องจากต้องต่อสู้ใน 7 แนวรบคือ กลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา กลุ่มฮิสบอลเลาะห์ในเลบานอน กลุ่ม Intifada ในเขตเวสต์แบงก์ กลุ่มฮูธีในเยเมน ทหารบ้านในอิรัก ซีเรียและอิหร่าน ดังนั้น มาตรการทางการทูต ซึ่งเริ่มด้วยคำสั่งหยุดยิงและการปล่อยตัวประกันในฉนวนกาซาคือมาตรการเดียวเพื่อหลีกเลี่ยงผลที่เลวร้ายที่สุดสำหรับทุกฝ่าย.
ตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2024 ส่วนกระจายเสียงภาษาต่างประเทศ แห่งสถานีวิทยุเวียดนามหรือวีโอวี จะเปิดรายการใหม่ที่ชื่อว่า “เวียดนาม-ศักราชแห่งการผงาด” โดยจะออกอากาศทางวิทยุและลงบนเว็บไซต์ vovworld.vn เพื่อเผยแพร่ให้ผู้ฟังผู้อ่านเข้าใจถึงความสามัคคี ความเป็นเอกฉันท์ของทั้งองค์กรพรรค กองทัพและประชาชนเวียดนามทุกภาคส่วนในการปฏิบัติตามมติของสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามสมัยที่ 13 มุ่งสู่การเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีการก่อตั้งพรรคและครบรอบ 100 ปีการก่อตั้งประเทศ ร่วมสะท้อนให้ประชามติเห็นถึงศักยภาพ สถานะและชื่อเสียงของเวียดนามบนเวทีโลกภายหลัง 40 ปี แห่งการปฏิบัติภารกิจเปลี่ยนแปลงใหม่ประเทศ โอกาส ความท้าทายและความรับผิดชอบทางประวัติศาสตร์ของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามในการนำประเทศผงาดขึ้นเพื่อก้าวรุดหน้าไปในศักราชใหม่
รายการใหม่นี้จะออกอากาศแทนรายการ “เวียดนามบนเส้นทางที่เลือกเฟ้น” ขอเชิญผู้ฟังผู้อ่านทุกท่านติดตามรับฟังรายการ “เวียดนาม-ศักราชแห่งการผงาด” ทั้งทางวิทยุและบนเว็บไซต์ทุกวันพฤหัสบดีตั้งแต่วันที่10ตุลาคมนี้เป็นต้นไป./.