การเปลี่ยนแปลงสีเขียวเพื่อขยายการส่งออกไปยังสหภาพยุโรป
Bá Toàn+Thúy Hằng; Vĩnh Phong -  
(VOVWORLD) - จากการสรุปสถานการณ์การปฏิบัติข้อตกลงการค้าเสรีเวียดนาม – สหภาพยุโรปหรือ EVFTA มาเป็นเวลา 3 ปี แสดงให้เห็นว่าความคาดหวังเกี่ยวกับการเติบโตทางการค้าระหว่างเวียดนาม - สหภาพยุโรปได้บรรลุผลงานจริง แต่อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปีที่ 3 ในกระบวนการบังคับใช้ข้อตกลง EVFTA สหภาพยุโรปได้เริ่มใช้มาตรฐานที่เข้มงวดมากขึ้น ทั้งในเรื่องคุณภาพในด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งทำให้สถานประกอบการเวียดนามต้องผลักดันการพัฒนาการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อปรับตัวเข้ากับความต้องการใหม่ของตลาดสหภาพยุโรป
เพื่อส่งออกไปยังตลาดสหภาพยุโรปอย่างยั่งยืน สถานประกอบการเวียดนามต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ค้ำประกันการจัดสรรผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสะอาด และมีส่วนร่วมอย่างลึกซึ้งในห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน (https://tapchicongthuong.vn/) |
บริษัทหุ้นส่วนนมเวียดนามหรือ Vinamilk ซึ่งเป็นที่รู้จักในตลาดมาเกือบ 50 ปี เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงซึ่งได้รับความนิยมจากผู้บริโภคทั้งภายในและต่างประเทศ ดังนั้นพร้อมกับการให้ความสนใจถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ทางบริษัทฯ ยังให้ความสนใจถึงการพัฒนาที่ยั่งยืนในด้านการผลิตและประกอบธุรกิจอยู่เสมอ โดยได้สร้างระบบฟาร์มเชิงนิเวศ Vinamilk Green Farm ที่ใช้เงินลงทุนเริ่มแรกประมาณ 130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามมาตรฐาน Global GAP ฟาร์มเหล่านี้ใช้กระบวนการผลิตตามรูปแบบเกษตรอินทรีย์ ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง และใช้แนวทางจัดการพื้นที่เกษตรแบบองค์รวม ควบคู่กันนั้น ในฟาร์มยังสร้างพื้นที่สีเขียวกว่าร้อยละ 70 เพื่อช่วยจำกัดผลกระทบจากสภาพแวดล้อมภายนอก นาย เหงียนก๊วกแค้ง กรรมการบริหารฝ่ายวิจัยและพัฒนาของบริษัท Vinamilk เผยว่า
“ระบบ ฟาร์มสีเขียวของบริษัท Vinamilk เป็นตัวอย่างของการพัฒนาที่ยั่งยืน จากการปฏิบัติการเกษตรแบบองค์รวม เราใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ระบบเทคโนโลยีอะตอมคาร์บอนอินทรีย์เพื่อลดก๊าซมีทนและกลิ่นไม่พึงประสงค์ในฟาร์ม นอกจากนี้ เรายังมีกิจกรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนให้แก่ชุมชนอีกด้วย”
ข้อกำหนดเกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นแนวโน้มในสภาวการณ์ปัจจุบัน ดังนั้น นับวันมีสถานประกอบการเวียดนามหลายแห่งเช่นเดียวกับ Vinamilk ที่เลือกแนวทางการพัฒนาที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยถือการเติบโตสีเขียวและการพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นแนวทางที่ต้องปฏิบัติ สถานประกอบการของเวียดนามกำลังเข้าถึงและพยายามเปลี่ยนไปสู่การพัฒนาและการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยใช้และสะอาดเพื่อตอบสนองมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและเข้าร่วมห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนของตลาดโลกให้ลึกซึ้งมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดสหภาพยุโรป นาย โงจุงแคง รองอธิบดีกรมนโยบายการค้าพหุภาคีของกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรม แสดงความเห็นว่า
“ข้อกำหนดหลายข้อของสหภาพยุโรปไม่มุ่งเป้าไปยังภาคการส่งออกโดยตรง หากมีผลต่อผู้นำเข้าของสหภาพยุโรป เนื่องจากปัจจุบัน มีแนวโน้มที่ให้ความสนใจถึงวิธีการผลิตว่าส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือมีความยั่งยืนหรือไม่ แม้กระทั่งข้อกำหนดและการปฏิบัติต่อแรงงาน นั่นคือปัญหาที่สถานประกอบการเวียดนามต้องให้ความสนใจ สถานประกอบการเวียดนามต้องมีมุมมองจากทั้งสองฝ่าย นั่นคือข้อกำหนดของสหภาพยุโรปและจากผู้บริโภคของตลาดนี้”
นาง เหงียนถิห่งลวาน ผู้เชี่ยวชาญของโครงการช่วยเหลือด้านเทคนิคเกี่ยวกับการประเมินผลกระทบของกลไกการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนสหภาพยุโรปหรือ CBAM เผยว่า EVFTA มุ่งสู่เป้าหมายพัฒนาการค้าที่ยั่งยืนและกำหนดมาตรฐานเพื่อให้เวียดนามก้าวไปสู่การปฏิรูปเกี่ยวกับแรงงานและสภาพภูมิอากาศอย่างเข้มแข็ง การบังคับใช้กระบวนการเปลี่ยนแปลงแห่งสีเขียวจะช่วยให้เวียดนามผสมผสานเข้ากับห่วงโซ่คุณค่าระดับโลกได้ดีขึ้นในเวลาที่จะถึง ซึ่งเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเหล่านี้ เวียดนามต้องจัดทำกรอบการปฏิบัติกระบวนการนี้ให้เข้มแข็งมากขึ้น นาง เหงียนห่งลวาน เผยว่า
“มาตรฐานสีเขียวของยุโรปกำลังถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางและลึกซึ้งมากขึ้น นับเป็นครั้งแรกที่สหภาพยุโรปได้มีการตัดสินใจเพียงฝ่ายเดียว และพวกเขาได้เปิดการเจรจาทวิภาคีกับประเทศต่างๆ แต่การเจรจานี้เป็นเพียงการกำหนดการบังคับใช้อย่างเป็นรูปธรรมเท่านั้น สำหรับสถานประกอบการ เมื่อก่อน มาตรฐานเหล่านี้สามารถนำมาปรับใช้ได้ตามความเหมาะสมของแต่ละระยะเวลาผลิตและเป็นไปโดยสมัครใจ แต่ตอนนี้ สถานประกอบการของเวียดนามที่ส่งออกไปยังยุโรปต้องปฏิบัติตามข้อบังคับเหล่านี้”
นาย โงจุงแคง รองอธิบดีกรมนโยบายการค้าพหุภาคีของกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรม |
ถึงแม้จะยังคงประสบอุปสรรคมากมายในการเปลี่ยนแปลงการผลิตและประกอบธุรกิจตามแนวทางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่สถานประกอบการเวียดนามได้มีข้อมูลที่ครบถ้วนและมีความรู้เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจแห่งสีเขียว การประกอบธุรกิจที่มีความรับผิดชอบ และการประกอบธุรกิจที่ยั่งยืน สิ่งที่จำเป็นในปัจจุบันคือมาตรการทางการเงินที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจากสถาบันการเงิน เช่น ธนาคารต่างๆ เพื่อสามารถเข้าถึงแพ็คเกจช่วยเหลือสถานประกอบการและปฏิบัติยุทธศาสตร์การแข่งขันที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อีกทั้งต้องมีนโยบายสนับสนุนจากรัฐเกี่ยวกับกรอบทางนิตินัยเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อำนวยความสะดวกให้แก่สถานประกอบการประกอบธุรกิจที่ยั่งยืนและมีความรับผิดชอบ นาย เหงียนกวางวิง รองประธานสมาพันธ์การค้าและอุตสาหกรรมเวียดนามหรือ VCCI แสดงความเห็นว่า
“ในระเบียบวาระการประชุมของฟอรั่มสถานประกอบการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในตลอด 10 ปีที่ผ่านมา VCCI ได้ประสานงานกับกระทรวงและหน่วยงานต่างๆ เช่น กระทรวงวางแผนและการลงทุน กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานของรัฐบาลในการสนับสนุนสถานประกอบการเพื่อสร้างเวทีการแลกเปลี่ยนความเห็นและการสนทนาระหว่างสถานประกอบการและสำนักงานที่เกี่ยวข้อง อีกทั้ง เสนอรูปแบบการประกอบธุรกิจที่ยั่งยืนและมีความรับผิดชอบเพื่อให้สถานประกอบการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนความสำเร็จสำเร็จและความล้มเหลวในการประกอบธุรกิจ เพื่อนำไปสู่การเสนอรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่เป็นประโยชน์ต่อสถานประกอบการ”
การพัฒนาสีเขียวและการพัฒนาที่ยั่งยืนจะกลายเป็นปัจจัยที่สำคัญเพื่อพัฒนาชุมชนสถานประกอบการ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันต่อไป ตลอดจนค้ำประกันข้อกำหนดของข้อตกลงการค้าเสรีฉบับใหม่ คุณค่าเกี่ยวกับการพัฒนาสถานประกอบการที่ยั่งยืนต้องได้รับการกำหนดและจัดทำบนพื้นฐานคุณค่าหลักของผู้ประกอบการและสถานประกอบการ โดยข้อกำหนดด้านธรรมาภิบาลในการประกอบธุรกิจ การคุ้มครองผู้บริโภคและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมต้องได้รับการส่งเสริมและพัฒนา.
Bá Toàn+Thúy Hằng; Vĩnh Phong