(VOVworld)-วันที่23พฤษภาคม กระทรวงการต่างประเทศเวียดนามได้จัดประชุมแถลงข่าวระหว่างประเทศเพื่อแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุดในทะเลตะวันออกพร้อมเสนอหลักฐานทางนิตินัยที่ยืนยันอธิปไตยของเวียดนามต่อหมู่เกาะทั้งสองแห่งคือหว่างซาหรือพาราเซลล์และเจื่องซาหรือสเปรตลี่ ปฏิเสธและตอบโต้ข้อกล่าวหาของจีนที่โยนความผิดให้แก่เวียดนามในปัญหาทะเลตะวันออกและประกาศคารมที่ผิดพลาดเกี่ยวกับอธิปไตยของจีนต่อหว่างซา
เมื่อเปิดการแถลงข่าว นายเลหายบิ่งโฆษกกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามได้ชี้ชัดว่า โดยไม่สนใจต่อการสนทนาที่จริงจังในทุกระดับของเวียดนามเพื่อมุ่งแก้ไขปัญหา จีนไม่เพียงแต่ไม่ตอบสนองต่อเจตนาดีของเวียดนามแถมยังประกาศข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือหมู่เกาะหว่างซาหรือพาราเซลล์ ซึ่งเวียดนามมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์และนิตินัยที่สมบูรณ์และหนักแน่นเพื่อยืนยันอธิปไตยของตนเหนือหมู่เกาะทั้งสองแห่งดังกล่าว
ส่วนนาย เจิ่นยวีหาย รองหัวหน้าคณะกรรมการชายแดนแห่งชาติ ได้กล่าวยืนยันว่า ในหลายศตวรรษที่ผ่านมาโดยเฉพาะอย่างน้อยคือตั้งแต่ศตวรรษที่17 เวียดนามได้กำหนดและปฏิบัติอธิปไตยต่อหมู่เกาะทั้งสองแห่งคือหว่างซาหรือพาราเซลล์และเจื่องซาหรือสเปรตลี่อย่างสันติ ต่อเนื่องและสอดคล้องกับกฎหมายสากล ดังนั้นการที่จีนกล่าวว่าหว่างซาอยู่ในอธิปไตยของจีนนั้นถือว่าไร้มูลความจริง “อธิปไตยของเวียดนามต่อหมู่เกาะสองแห่งนี้ได้รับการรับรองในการประชุมซาน ฟรานซิสโกเมื่อเดือนกันยายนปี1951 ซึ่งเป็นการประชุมแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการผนวกดินแดนหลังสงครามโลกครั้งที่2โดยมีการเข้าร่วมของ51ประเทศ ซึ่งในการประชุมนี้ หัวหน้าคณะผู้แทนเวียดนามคือนายกฯเจิ่นวันหิวแห่งรัฐบาลบ๋าวด๋ายก็ได้ยืนยันอธิปไตยของเวียดนามเหนือหมู่เกาะหว่างซาและเจื่องซาโดยไม่มีประเทศใดในที่ประชุมคัดค้าน แต่ข้อเสนอของคณะผู้แทนโซเวียดที่มอบอำนาจการดูแลเกาะทั้งสองแห่งนี้ให้จีนได้ถูก46จากทั้งหมด51ประเทศคัดค้าน”
การที่เมื่อปี1974จีนได้ใช้กำลังเพื่อยึดครองหมู่เกาะหว่างซาของเวียดนามก็ถือเป็นการใช้กำลังเพื่อยึดครองดินแดนของประเทศอื่นเป็นการละเมิดกฎหมายดังนั้นไม่อาจรับรองอธิปไตยที่ชอบด้วยกฎหมายของจีนเหนือหมู่เกาะหว่างซาหรือพาราเซลล์ได้ สำหรับเรื่องที่จีนได้อ้างเนื้อหาที่ไม่มีจริงในจดหมายราชการที่อดีตนายกฯเวียดนาม ท่านฝามวันด่งผู้ล่วงลับฉบับปี1958เพื่อกล่าวว่าเวียดนามได้ยอมรับอย่างเป็นทางการต่ออธิปไตยของจีนเหนือหมู่เกาะหว่างซา นายเจิ่นยวีหายปฏิเสธอย่างเข้มแข็งว่า “ต้องยืนยันว่าจดหมายราชการของอดีตนายกฯฝามวันด่งผู้ล่วงลับไม่มีส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับปัญหาดินแดนและอธิปไตยต่อหมู่เกาะหว่างซาและเจื่องซาหากมีแต่แสดงความเห็นด้วยกับประกาศของทางการจีนเกี่ยวกับเขตน่านน้ำ12ไมล์ทะเลและสั่งให้หน่วยงานต่างๆของเวียดนามให้ความเคารพต่อเขตน่านน้ำ12ไมล์ทะเลนั้น”
ต่อเรื่องที่จีนได้ยืนยันเสมอว่าในเขตหว่างซาไม่มีการพิพาทหากได้อยู่ในอธิปไตยของจีนทั้งหมด นายเจิ่นยวีหายยืนยันว่านี่เป็นทัศนะที่เดินสวนกับทัศนะของผู้นำจีนเอง โดยเมื่อวันที่24กันยายนปี1975 ในการหารือกับเลขาธิการคนที่1พรรคแรงงานเวียดนามเลหยวน รองนายกฯจีนเติ้งเสียวผิงได้ยอมรับว่าระหว่างสองประเทศมีข้อพิพาทเกี่ยวกับหมู่เกาะสองแห่งนี้และทั้งสองฝ่ายสามารถร่วมหารือกันได้ ซึ่งความเห็นนี้ของนายเติ้งเสียวผิงก็ถูกระบุในหนังสือของกระทรวงการต่างประเทศจีนพร้อมทั้งลงในหนัวสือพิมพ์เหรินหมินรื่อเป้าฉบับวันที่12พฤษภาคมปี1988
นายเจิ่นยวีหายกำลังตอบคำถามของผู้สื่อข่าว
|
เกี่ยวกับข้อกล่าวหาของจีนที่ว่า “เวียดนามได้กำหนด57แปลงน้ำมันดิบซึ่งในนั้นมี7แปลงที่ดำเนินการขุดเจาะแล้วและตั้ง37แท่นขุดเจาะในเขตทะเลที่มีการพิพาท” นายโด๋วันเหา ผู้อำนวยการเครือบริษัทปิโตรเลี่ยมแห่งชาติเวียดนามยืนยันว่า “กิจกรรมการสำรวจและขุดเจาะน้ำมันของเวียดนามได้ดำเนินภายในเขตไหล่ทวีปของเวียดนามและถูกรอบรองว่าสอดคล้องกับอนุสัญญาสหประชาชาติเกี่ยวกับกฎหมายทางทะเลปี1982โดยประชาคมระหว่างประเทศ ซึ่งมีบริษัทปิโตรเลี่ยมต่างชาติหลายแห่งได้ลงนามสัญญาร่วมสำรวจและขุดเจาะน้ำมันกับเวียดนามในแปลงน้ำมันดิบต่างๆที่อยู่ในไหล่ทวีปของเวียดนาม”
ต่อคำถามที่ว่า จากสถานการณ์ในปัจจุบันเวียดนามจะใช้มาตรการทางนิตินัยหรือไม่?ท่านเหงวียนถิแทงห่า อธิบดีกรมกฎหมายและอนุสัญญาสากลแห่งกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามได้กล่าวว่า“ในฐานะเป็นสมาชิกของสหประชาชาติและเข้าร่วมอนุสัญญาสากลเกี่ยวกับกฎหมายทางทะเลปี๑๙๘๒ เวียดนามมีสิทธิใช้ทุกระเบียบการเพื่อแก้ไขการพิพาทที่เกี่ยวพันกับเวียดนาม ผู้นำเวียดนามได้ยืนยันว่า ไม่มีการยกเว้นมาตรการใด พวกเราในฐานะสำนักงานที่ปรึกษาทางนิตินัยจะเตรียมทุกมาตรการและการใช้มาตรการสันติภาพเพื่อแก้ไขการพิพาท รวมทั้ง การใช้องค์การศาลระหว่างประเทศที่ได้ระบุในกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายทางทะเลปี๑๙๘๒”
ต่อข่าวที่ว่า จีนส่งกำลังพลไปยังเขตชายแดนและมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการปะทะทางทหาร นายเจิ่นยวีหาย รองหัวหน้าคณะกรรมการชายแดนแห่งชาติยืนยัน นี่เป็นข่าวที่ไร้มูลความจริงและเผยว่า ในการพบปะระหว่างรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศ เมื่อเร็วๆนี้ ทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องกันว่า จะไม่ใช้มาตรการทางทหารเพื่อแก้ไขความขัดแย้ง
ต่อคำถามที่ว่า เมื่อเร็วๆนี้ กระทรวงการต่างประเทศจีนได้กล่าวว่า ฝ่ายเวียดนามมีปฏิบัติการยั่วยุโดยให้เรือพุ่งชนเรือของจีน นายโงหงอกทู เสนาธิการกองบัญชาการตำรวจทะเลเวียดนามยืนยันว่า นี่เป็นข่าวปั้นแต่งไร้มูลความจริงไม่ตรงกับสถานการณ์ในภาคสนามและมีลักษณะกล่าวหา“พวกเราปฏิเสธข่าวนี้อย่างสิ้นเชิง จากสถานการณ์ในพื้นที่ ในช่วงที่เร่งด่วน วันที่๒๐เดือนนี้ จีนได้ใช้เรือ๑๓๗ลำเพื่อปกป้องแท่นขุดเจาะ รวมทั้งเรือรบ๔ลำและเครื่องบินจำนวนหนึ่ง เรือจีนได้ฉีดน้ำแรงดันสูง ใช้เครื่องส่งคลื่นความถี่ ไฟสปอร์ตไลท์และอุปกรณ์สร้างเสียงอื่นๆเพื่อรบกวนเรือเวียดนาม พุ่งชนและสกัดเรือของเวียดนามบนทะเล” นายโงหงอกทูยืนยันว่า ฝ่ายเวียดนามไม่ได้ใช้อุปกรณ์บนเรือเพื่อตอบโต้เรือของจีน โดยใช้แต่เพียงลำโพงเพื่อประกาศจีนยุติปฏิบัติการเท่านั้น
ต่อคำถามที่ว่า เวียดนามจะแสวงหาการสนับสนุนจากประชาโคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะ อาเซียนเช่นไรในการต่อสู้ทางนิตินัยเพื่อพิทักษ์รักษาอธิปไตยเหนือดินแดนของตน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามเลหายบิ่งได้ยืนยันว่า ประชามติ และวงการการเมืองล้วนให้การสนับสนุนเวียดนาม และมาตรการสันติภาพที่เวียดนามกำลังปฏิบัติ ในเวลาข้างหน้า เวียดนามจะยืนยันอธิปไตยที่ไม่อาจปฏิเสธได้ของตนในฟอรั่มทวิภาคีและพหุภาคี./.