ความท้าทายครั้งรุนแรงในความสัมพันธ์ระหว่างสองภาคเกาหลี
Hong Van – VOV 5 -  
( VOVworld )- หลายวันที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีหรือเกาหลีเหนือกับสาธารณรัฐเกาหลีหรือเกาหลีใต้ทวีความตึงเครียดถึงจุดสูงสุด หลังจากที่สองฝ่ายได้โต้ตอบกันทางวาจาแบบไม่แคร์หน้าใครและมีปฏิบัติการที่แข็งกร้าว
( VOVworld )- หลายวันที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีหรือเกาหลีเหนือกับสาธารณรัฐเกาหลีหรือเกาหลีใต้ทวีความตึงเครียดถึงจุดสูงสุด หลังจากที่สองฝ่ายได้โต้ตอบกันทางวาจาแบบไม่แคร์หน้าใครและมีปฏิบัติการที่แข็งกร้าว
สาเหตุมาจากการซ้อมรบร่วมระหว่างสหรัฐฯกับสาธารณรัฐเกาหลีภายใต้รหัส “ คีย์ รีซอล์ฟ ” เป็นเวลา ๑๑ วัน โดยมีทหารของทั้งสองฝ่ายกว่า ๑๓,๐๐๐ นาย พร้อมเครื่องบินประจัญบานชนิดต่างๆและเรือพิฆาตพร้อมจรวดนำวิถี ซึ่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเปียงยางได้กล่าวหาว่า นี่เป็นการรุกรานโดยสาธารณรัฐเกาหลีเป็นผู้ปฏิบัติภายใต้การสนับสนุนของพันธมิตรอเมริกา ซึ่งการซ้อมรบดังกล่าวมีขึ้นพร้อมกับอีกการซ้อมรบระหว่างสหรัฐฯกับสาธารณรัฐเกาหลีภายใต้รหัส “ นกอินทรีย์ตัวน้อย ”เป็นเวลา ๒ เดือน
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีได้โต้ตอบทันควัน โดยเมื่อวันที่ ๑๑ เดือนนี้ได้ประกาศยกเลิกคำสั่งหยุดยิงที่ทำไว้กับสาธารณรัฐเกาหลีในสมัยสงครามเกาหลีเมื่อปี ๑๙๕๓ ซึ่งเป็นเอกสารผูกมัดสองภาคเกาหลีไม่ให้ตกอยู่ในสงครามอีก แม้กระทั่งหนังสือพิมพ์โรดอง ซินมุนของพรรคแรงงานเกาหลีได้ยืนยันว่า สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีได้มีการเตรียมพร้อมอาวุธแล้วสำหรับการสู้รบ ในขณะเดียวกัน เปียงยางได้ตัดการสื่อสารสายตรงหรือฮอตไลน์ถึงผู้นำรัฐบาลกรุงโซล ซึ่งติดตั้งไว้เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ณ เขตปลอดทหารแนวชายแดนระหว่างสองภาค และเพื่อยืนยันคำประกาศดังกล่าว ในโอกาสไปเยี่ยมเยือนหน่วยมหารปืนใหญ่ประจำการตามแนวชายแดนเมื่อวันที่ ๑๑ เดือนนี้
นายกิมจองอึน ผู้นำสาธารณรัฐประชาธิไปตยประชาชนเกาหลีได้ขู่จะโจมตีเกาะBaengnyeongที่อยู่ในการควบคุมของสาธารณรัฐเกาหลีและตั้งอยู่ในบริเวณทะเลที่พิพาทระหว่างสองภาคเกาหลี โดยนายกิมจองอึน เผยว่า เกาะแห่งนี้จะเป็นเป้าหมายโจมตีแห่งแรกหากสถานการณ์ความตึงเครียดทางทหารยังคงบานปลายอีก นายกิมยังเรียกร้องให้ทหารทุกหมู่เหล่าเตรียมความพร้อมทางจิตใจหากสงครามเกิดขึ้น
|
กองทัพสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีพร้อมที่จะสู้รบ |
การที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีประกาศยกเลิกสัญญาสงบศึกแต่เพียงฝ่ายเดียวก็ทำให้เกิดความวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่งจากฝ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้องและกระแสประชามติโลก โดยเมื่อเร็วๆนี้
นายมาร์ติน เนเซอร์กี โฆษกของนายบัน คีมุน เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติได้ยืนยันว่า ข้อตกลงหยุดยิงบนคาบสมุทรเกาหลียังมีผลบังคับใช้เนื่องจากสมัยชาใหญ่สหประชาชาติได้อนุมัติผ่านเอกสารดังกล่าวและข้อกำหนดต่างๆที่ได้ระบุในข้อตกลงหยุดยิงไม่อนุญาตให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยกเลิกแต่เพียงฝ่ายเดียว ส่วนนางสาวปาร์ค กึน เฮ ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลีก็ให้สัญญาว่าจะโต้ตอบกับการยั่วยุของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี อีกทั้งยืนยันว่า รัฐบาลของตนจะพยายามต่อไปเพื่อแสวงหาการสนทนากับเปียงยาง ในขณะเดียวกัน นายกิม มิน-โซค โฆษกกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐเกาหลีได้แสดงท่าที่ที่แข็งกร้าวโดยยืนยันว่า กรุงโซลจะตอบโต้ทันทีหากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีทำการโจมตี ส่วนประเทศตะวันตกและสหรัฐอเมริกาได้เพิ่มแรงกดดันด้วยการประกาศใช้มาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ซึ่งรวมถึงมาตรการคว่ำบาตรด้านการเงิน และเสนอร่างมติเกี่ยวกับการจัดตั้งคณะกรรมการสอบสวนปัญหาสิทธิมนุษยชนในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี
|
นายมาร์ติน เนเซอร์กี โฆษกของนายบัน คีมุน เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติ
|
การที่สาสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีมีปฏิบัติการที่แข็งกร้าวดังกล่าวก็เพื่อเสริมสร้างความจงรักภักดีของประชาชนและกองทัพต่อผู้นำกิม จอง อึน อีกทั้งสะท้อนความตั้งใจอย่างเด็ดขาดของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีพร้อมที่จะฟันฝ่าความท้าทายครั้งใหญ่กว่าด้วยหวังว่า ประเทศต่างๆจะมีความประณีประนอมและสนองตอบความต้องการของพวกเขา สถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีในปัจจุบันส่อเค้าว่า พื้นที่นี้กำลังอยู่ในปากเหวของสงครามที่อันตรายที่สุดเนื่องด้วยมีอาวุธนิวเคลียร์ แต่หากสงครามเกิดขึ้นจริงจะไม่มีฝ่ายใดได้รับประโยชน์ และหากสถานการณ์บานปลายไปยังพื้นที่อื่นๆจะเป็นการยั่วยุให้เกิดการแข่งขันอาวุธในภูมิภาคและส่งผลกระทบต่อการเมืองของภูมิภาคด้วย ./.
Hong Van – VOV 5