(VOVWORLD) - วันที่ 18 ธันวาคมปี 2016 ได้กลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของสหรัฐเมื่อมหาเศรษฐี โดนัลด์ ทรัมป์ กลายเป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 ของประเทศสหรัฐ หลังการบริหารประเทศ 1 ปี ประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้มีนโยบายที่สำคัญๆ ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลต่อชีวิตการเมืองและชาวอเมริกันเท่านั้น หากยังส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์การเมืองโลกอีกด้วย
นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ (Sky News) |
1 ปีได้ผ่านพ้นไปนับตั้งแต่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ คำมั่น “America great again” ของนาย โดนัลด์ ทรัมป์ได้รับการแปรให้เป็นรูปธรรมผ่านการปฏิบัตินโยบายในหลายด้าน โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจและการทูต
การตัดสินใจที่ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้
หลังจากเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งได้ 2 วัน นาย โดนัลด์ ทรัมป์ได้ลงนามมติฉบับแรก คือถอนตัวจากข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิกหรือทีพีพี ซึ่งเป็นข้อตกลงการค้าครั้งประวัติศาสตร์ที่ 12 ประเทศสมาชิกในภูมิภาคได้เสร็จสิ้นการเจรจา ท่าทีนี้ของนาย โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ทำให้ประเทศที่เหลือตกเข้าสู่ภาวะชะงักงัน เพราะตามข้อตกลงก่อนหน้านั้น ทีพีพีจะมีผลบังคับใช้ถ้าหากได้มีอย่างน้อย 6 ประเทศให้สัตยาบันก่อนเดือนกุมภาพันธ์ปี 2018 และประเทศเหล่านี้ต้องมีส่วนร่วมอย่างน้อยร้อยละ 85 ต่อจีดีพีของกลุ่ม ซึ่งหมายความว่า ไม่สามารถขาดส่วนร่วมของสหรัฐหรือญี่ปุ่นได้
ต่อจากทีพีพี เมื่อวันที่ 2 มิถุนายนปี 2017 ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศถอนสหรัฐออกจากข้อตกลงปารีสเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งได้รับการอนุมัติจาก 195 ประเทศเพื่อป้องกันและลดภาวะโลกร้อน ถึงแม้ถูกคัดค้านจากหลายประเทศ แต่นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงแสดงความเห็นว่า ข้อตกลงปารีสคือข้อตกลงที่ไม่ยุติธรรมต่อสหรัฐ มีส่วนร่วมทำให้ผู้ใช้แรงงานชาวอเมริกันสูญเสียงานทำ และสร้างความเสียหายให้แก่ผู้ชำระภาษีในสหรัฐ
เมื่อวันที่ 10 ตุลาคมปี 2017 กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐได้ประกาศว่า วอชิงตันจะถอนตัวจากการเป็นสมาชิกขององค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโกตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคมปี 2018 และจะธำรงบทบาทในฐานะผู้สังเกตุการณ์ ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ได้สะท้อนฐอีกครั้งถึงนโยบายถือ “ผลประโยชน์ของสหรัฐเป็นหลัก” เมื่อถอนตัวออกจากสนธิสัญญาเกี่ยวกับผู้อพยพของสหประชาชาติ ด้วยเหตุผลว่า มีบางมาตราที่ไม่สอดคล้องกับนโยบายเกี่ยวกับการอพยพและผู้ลี้ภัยของสหรัฐ ตลอดจนหลักการเกี่ยวกับการอพยพของทางการประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์
ควบคู่กันนั้นคือการเปลี่ยนแปลงนโยบายการทูตของสหรัฐในปัญหานิวเคลียร์ของอิหร่าน สงครามกลางเมืองในซีเรียและความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านคิวบา ตลอดจนการตัดสินใจรับรองเมืองเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล จนทำให้ประชาคมโลกแสดงความไม่พอใจในช่วงปลายปี 2017
ความพยายามเสริมสร้างสถานะของประเทศมหาอำนาจด้านเศรษฐกิจ
ไม่เพียงแต่ยืนหยัดนำสหรัฐออกจากองค์การต่างๆและสนธิสัญญาระหว่างประเทศหลายฉบับตลอดจนเปลี่ยนแปลงนโยบายการทูตของสหรัฐ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ยังประกาศใช้มติหลายฉบับเพื่อปกป้องความปลอดภัยของสหรัฐ ที่น่าสนใจคือ “คำสั่งปกป้องประเทศจากการเข้ามาของผู้ก่อการร้ายชาวต่างชาติ” โดยจำกัดการเดินทางเข้าเมืองและการพำนักอาศัยของพลเมืองจากบางประเทศในตะวันออกกลางและแอฟริกา ควบคู่กันนั้นคือความพยายามก่อสร้างกำแพงกั้นชายแดนกับประเทศเม็กซิโก การปฏิรูปภาษีและการยกเลิกโครงการโอบามาแคร์ เป็นต้น
ทั้งนี้ ถึงแม้ยังมีข้อถกเถียงต่างๆ แต่มีความจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้คือนโยบายด้านเศรษฐกิจของนาย โดนัลด์ ทรัมป์ได้เกิดประสิทธิผลในเบื้องต้น โดยเศรษฐกิจของสหรัฐได้ฟื้นตัวอย่างเข้มแข็ง จีดีพีบรรลุร้อยละ 3 ในปี 2017 ในขณะเดียวกัน ถึงแม้นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขึ้นบริหารประเทศได้เพียง 1 ใน 4 ของวาระเท่านั้น แต่อัตราคนว่างงานลดลงอยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบ 17 ปีที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวดีขึ้นและได้มีการสร้างงานทำใหม่หลายตำแหน่ง
1 ปีได้ผ่านพ้นไปนับตั้งแต่กลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ถึงแม้ต้องเผชิญกับอุปสรรคและความท้าทายไม่น้อย แต่ผลงานของนักธุรกิจ มหาเศรษฐี โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ถือเป็นนิมิตหมายที่น่าประทับใจ.