(VOVWORLD) - ก่อนพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของนาย โจ ไบเดน ในวันที่ 20 มกราคม สถานการณ์ทางการเมืองในสหรัฐได้มีความตึงเครียดเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ หลังจากที่สภาล่างมีมติให้ทำการถอดถอนประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ออกจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 13 มกราคม เนื่องจากทำการปลุกปั่นให้เกิดการประท้วงเพื่อขัดขวางการนับคะแนนคณะผู้เลือกตั้งและบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 1 ที่ผ่านมาและเปิดทางให้แก่การยื่นเสนอพิจารณาเรื่องนี้ในวุฒิสภาต่อไป
การหารือและลงคะแนนของสภาล่างสหรัฐ (C-Span) |
ท่าทีของสภาล่างสหรัฐมีขึ้นก่อนการถ่ายโอนอำนาจให้แก่นาย โจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ในวันที่ 20 มกราคมเพียง 1 สัปดาห์ ซึ่งทำให้ช่วงเวลาสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของนาย โดนัลด์ ทรัมป์ เผชิญแรงกดดันที่หนักหนาสาหัส
แรงกดดันต่อประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์
การตัดสินใจของสภาล่างสหรัฐทำให้นาย โดนัลด์ ทรัมป์ กลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกที่ถูกยื่นถอดถอนถึงสองครั้งในหนึ่งวาระ แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับการถูกยื่นถอดถอนครั้งแรกเมื่อปี 2019 ด้วยข้อกล่าวหาว่า ทำการกดดันประธานาธิบดียูเครน ซึ่งประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ก็สามารถรอดพ้นจากข้อกล่าวหาดังกล่าวได้โดยง่าย เพราะมีวุฒิสมาชิกจากพรรครีพับลิกันซึ่งเป็นพรรคเดียวกับนาย โดนัลด์ ทรัมป์เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ลงชื่อร่วมถอดถอน ส่วนในการยื่นถอดถอนครั้งที่ 2นี้ นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ต้องเผชิญกับแรงกดดันมากขึ้นเพราะมีสมาชิกสภาล่างของพรรครีพับลิกันอย่างน้อย 10 คนได้ลงคะแนนถอดถอนร่วมกับสมาชิกพรรคเดโมแครต
ก่อนมีมติถอดถอนประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ สภาล่างสหรัฐได้เรียกร้องให้รองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์ ใช้อำนาจตามบทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ 25 เพื่อปลดประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ออกจากตำแหน่ง โดยบทบัญญัตินี้เปิดทางให้สามารถทำการถอดถอนประธานาธิบดีได้ถ้าหากรองประธานาธิบดีและคณะรัฐมนตรีส่วนใหญ่เห็นว่า ประธานาธิบดีไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
พรรคเดโมแครตกล่าวว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ทำการปลุกปลั่นให้เกิดการประท้วงและเรียกร้องผู้สนับสนุนให้ชุมนุมที่แคปปิตอลฮิลล์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารรัฐสภา โดยกลุ่มผู้ประท้วงได้ก่อเหตุจราจลบุกเข้าไปภายในอาคารรัฐสภาเพื่อขัดขวางการนับคะแนนคณะผู้เลือกตั้งในการรับรองผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อวันที่ 6 มกราคม ทำให้การนับคะแนนต้องหยุดชะงักเป็นเวลาหลายชั่วโมง ซึ่งเป็นเหตุที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 200 ปี
ส่วน เมื่อวันที่ 11 มกราคม นาย Kevin McCarthy หัวหน้าพรรครีพับลิกันในสภาล่างสหรัฐได้เผยว่า ในการพูดคุยทางโทรศัพท์เป็นเวลา 30 นาทีกับตัวเขา ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ยอมรับใน "ความรับผิดชอบบางประการ" เกี่ยวกับเหตุจลาจลที่อาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม
นาย โจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ |
ทางออก
ตามความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์ การถูกยื่นถอดถอนถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรงสำหรับประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แต่มีความเป็นไปได้สูงที่นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ยังจะดำรงตำแหน่งต่อไปจนถึงวันที่ 20 มกราคม ซึ่งหมายความว่า เป็นการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีโดยสมบูรณ์ตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากส.ส หลายคนมีความเห็นไปในทางเดียวกันว่า พิจารณาการถอดถอนนาย โดนัลด์ ทรัมป์ในวุฒิสภาจะทำได้หลังจากนาย โจ ไบเดน เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเท่านั้น ในขณะเดียวกัน ในจดหมายที่ส่งถึงประธานสภาล่าง Nancy Pelosi เมื่อวันที่ 12 มกราคม รองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์ ก็ยืนยันจะไม่ใช้บทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ 25 เพื่อปลดประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ออกจากตำแหน่ง
สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ได้แสดงให้เห็นว่า มีความเป็นไปได้สูงที่นาย โดนัลด์ ทรัมป์ จะถูกยื่นเรื่องถอดถอนต่อวุฒิสภาหลังลงจากตำแหน่งประธานาธิบดี แต่ถึงกระนั้น ยังไม่มีอะไรค้ำประกันได้ว่า การถอดถอนจะประสบความสำเร็จ เพราะจะต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากวุฒิสมาชิกอย่างน้อย 2 ใน 3 ซึ่งหมายความว่า พรรคเดโมแครตต้องโน้มน้าวให้วุฒิสมาชิกซึ่งล้วนแต่เป็นสมาชิกพรรครีพับลิกกันอย่างน้อย 7 คนโหวตถอดถอน นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งถือเป็นเรื่องยากที่จะเกิดขึ้นได้เนื่องจากนาย มิตช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำพรรครีพับลิกันในวุฒิสภาสหรัฐแสดงความเห็นว่า น่าจะมีส.วของพรรครีพับลิกกันหนึ่งหรือสองคนเท่านั้นที่ลงคะแนนถอดถอนนาย โดนัลด์ ทรัมป์ ส่วนเมื่อวันที่ 13 มกราคม ส. ว. มิตช์ แมคคอนเนลล์ ได้เผยว่า ยังไม่ได้ตัดสินใจว่า จะลงคะแนนโหวตถอดถอนประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์หรือไม่ แม้ผู้ช่วยของเขาบางคนเปิดเผยว่า นาย มิตช์ แมคคอนเนลล์ ได้แสดงความ "พอใจ" ที่พรรคเดโมแครตพิจารณาถอดถอนประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ออกจากตำแหน่ง
แต่อย่างไรก็ตาม ตามความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์ ถึงแม้ในกรณีที่จะรอดพ้นจากการถูกถอดถอนครั้งนี้ได้ แต่อนาคตทางการเมืองของนาย โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ไม่น่าจะสดใสต่อไป ซึ่งก็หมายความว่า ความมุ่งมั่นของนาย โดนัลด์ ทรัมป์ ในการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2024 จะต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย./.