(VOVWORLD) -วันที่3พฤศจิกายน นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐเริ่มการเยือน5ประเทศในภูมิภาคเอเชียครั้งแรกเป็นเวลา12วัน ซึ่งเป็นการเยือนภูมิภาคเอเชียที่ยาวนานที่สุดของประธานาธิบดีสหรัฐในหลายปีที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายแสดงให้เห็นถึงคำมั่นเกี่ยวกับความร่วมมือกับประเทศพันธมิตรและหุ้นส่วนต่างๆของสหรัฐในภูมิภาคนี้
นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ (Photo: AP) |
ตามแผนการ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะเดินทางไปยังเกาะฮาวายก่อนที่จะเยือนญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี จีน เวียดนามและฟิลิปปินส์ นอกจากการพบปะกับผู้นำประเทศต่างๆแล้ว นาย โดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้าร่วมการประชุมผู้นำฟอรั่มความร่วมมือด้านเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิกหรือเอเปกที่เวียดนามและการประชุมผู้นำสหรัฐ-อาเซียน ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์
ในการประกาศครั้งล่าสุด รัฐบาลสหรัฐได้เผยว่า การเยือนครั้งนี้ของประธานาธิบดีสหรัฐจะย้ำถึงคำมั่นของตัวเขาต่อประเทศพันธมิตรและหุ้นส่วนต่างๆของสหรัฐ พร้อมทั้ง ยืนยันถึงบทบาทของสหรัฐในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกที่เสรีภาพและเปิดกว้าง
สร้างความมั่นใจให้แก่ประเทศพันธมิตร ผลักดันการค้าและการปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี
นี่เป็นเนื้อหาหลักของการเยือนภูมิภาคเอเชียครั้งนี้ของประธานาธิบดีสหรัฐเพราะ 3ใน5ประเทศในภูมิภาคเอเชียที่ประธานาธิบดีสหรัฐเลือกไปเยือนเป็นประเทศพันธมิตรของสหรัฐ ซึ่งประกอบด้วยญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลีและฟิลิปปินส์ นาย Stephen Orlins ประธานคณะกรรมการแห่งชาติเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐได้พยากรณ์ว่า การสร้างความมั่นใจให้แก่ประเทศพันธมิตรในภูมิภาคเป็นหนึ่งในหน้าที่ที่สำคัญของการเยือนครั้งนี้ โดยเฉพาะ การที่สหรัฐถอนตัวออกจากข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิกหรือทีพีพีได้ทำให้ประเทศต่างๆที่เกี่ยวข้องมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับนโยบายการลงทุนของสหรัฐในภูมิภาคนี้ บรรดาผู้สังเกตการณ์ได้เผยว่า นอกเหนือจากการขยายความสัมพันธ์พันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์แล้ว นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ต้องแสดงให้เห็นว่า สหรัฐยังให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจกับประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกและพร้อมที่จะเปิดตลาดให้แก่หุ้นส่วนต่างๆในภูมิภาคเอเชีย
สำหรับญี่ปุ่น ปัญหาเศรษฐกิจและการค้ายังคงเป็นหัวข้อหลักในการพบปะระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศ เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา นาย ทาโร อาโซ รองนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นและนาย ไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐได้เป็นประธานในการเจรจารอบที่2เกี่ยวกับการสนทนาระดับสูงด้านเศรษฐกิจสหรัฐ-ญี่ปุ่น ณ กรุงวอชิงตัน ซึ่งรายงานของทำเนียบขาวได้เผยว่า ทั้งสองประเทศได้บรรลุความเห็นพ้องเป็นเอกฉันท์เกี่ยวกับปัญหาทางการค้าแต่ยังมีปัญหาที่คั่งค้างอยู่ โดยเนื้อหาของการสนทนาไม่ได้กล่าวถึงข้อตกลงการค้าเสรีสหรัฐ-ญี่ปุ่น นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังมีปัญหาที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับการค้าพหุภาคีเพื่อสหรัฐฟื้นฟูการเจรจาเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ ส่วนญี่ปุ่นเน้นให้ความสนใจข้อตกลงทีพีพี
หลังการเยือนญี่ปุ่น ในวันที่7พฤศจิกายน ประธานาธิบดีสหรัฐจะเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐเกาหลี นาย Park Soo hyun โฆษกของรัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีได้เผยว่า การประชุมระดับสูงระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศจะเน้นหารือเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ เช่น การผลักดันความสัมพันธ์พันธมิตรระหว่างสองประเทศ ปัญหาของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีและสถานการณ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ก็เช่นเดียวกับญี่ปุ่น นอกเหนือจากปัญหาของเปียงยางแล้ว การเจรจาทางการค้าก็ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทวิภาคี ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่14ตุลาคม ณ กรุงวอชิงตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐและสาธารณรัฐเกาหลีได้หารือเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าเสรีสหรัฐ-สาธารณรัฐเกาหลีและปัญหาการจัดการสกุลเงิน
ส่วนในโอกาสเยือนประเทศจีน มีความเป็นไปได้ที่ประธานาธิบดีสหรัฐจะกล่าวถึงปัญหาของเปียงยาง ส่วนฝ่ายจีนจะเสนอมาตรการเพื่อลดการขาดดุลการค้าระหว่างสองประเทศ
การใช้โอกาสจากฟอรั่มพหุภาคี
ควบคู่กับการเยือนประเทศต่างๆ ประธานาธิบดีสหรัฐจะเข้าร่วมการประชุมผู้นำเอเปกที่เวียดนามและการประชุมผู้นำสหรัฐ-อาเซียนที่ประเทศฟิลิปปินส์ นี่เป็นโอกาสที่ดีเพื่อให้ประธานาธิบดีสหรัฐแสดงจุดยืนเกี่ยวกับสถานะของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกในนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐ กิจกรรมร่วมกับประเทศต่างๆในภูมิภาคเพื่อรับมือกับภัยคุกคามต่างๆในโลก คาดว่า ประธานาธิบดีสหรัฐจะเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกปฏิรูปเศรษฐกิจและใช้มาตรฐานสากลในระดับสูงกว่า โดยเฉพาะ ด้านการบริการ การค้าอิเล็กทรอนิกส์และการปกป้องลิขสิทธิ์ทางปัญญาถ้าหากอยากผลักดันความคิดริเริ่มเกี่ยวกับการค้าเสรีในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
อาจกล่าวได้ว่า การเยือนภูมิภาคเอเชียครั้งนี้ของประธานาธิบดีสหรัฐจะเป็นโอกาสใหญ่เพื่อเสริมสร้างและผลักดันผลประโยชน์ของสหรัฐในภูมิภาค นี่เป็นการเยือนครั้งประวัติศาสตร์เพราะสาส์นต่างๆของประธานาธิบดีสหรัฐจะช่วยชี้ชัดถึงนโยบายของทางการสหรัฐต่อภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกเพราะจนถึงขณะนี้ ปัญหานี้ก็ยังไม่มีความชัดเจน.