(VOVWORLD) - จากการได้รับที่นั่ง 365 ที่นั่งจากจำนวนทั้งหมด 650 ที่นั่งในสภาล่างอังกฤษหลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา พรรคอนุรักษ์นิยมของนายกรัฐมนตรีอังกฤษ บอริส จอห์นสัน สามารถครองเสียงข้างมากเพื่อจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ และทำให้กระบวนการนำอังกฤษออกจากสหภาพยุโรปหรือ Brexit ตามกำหนดการใหม่คือวันที่ 31 มกราคมปี 2020 มีความสะดวกมากขึ้น
พรรคอนุรักษ์นิยมได้ 365 ที่นั่ง ซึ่งมากกว่ากึ่งหนึ่ง 39 ที่นั่ง ทำให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลเพียงพรรคเดียวโดยไม่ต้องจับมือกับพรรคการเมืองอื่น สิ่งที่สำคัญคือ จำนวนที่นั่งนี้ในสภาล่างได้ค้ำประกันให้นายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสันและพรรคอนุรักษ์นิยมสามารถเดินหน้าแผนการต่างๆ โดยเฉพาะ Brexit ที่ประสบอุปสรรคนานัปการในตลอด 2 ปีที่ผ่านมา
เปิดทางให้แก่การอนุมัติ Brexit ในรัฐสภาอังกฤษ
หลังจากผลการนับคะแนนได้รับการประกาศโดยพรรคอนุรักษ์นิยมครองเสียงข้างมากในสภาล่าง นายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ได้ประกาศว่า Brexit จะไม่ใช่ปัญหาที่สร้างความถกเถียงของชาวอังกฤษอีกต่อไป
ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พรรคอนุรักษ์นิยมของนายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ซึ่งไม่ได้ครองเสียงข้างมากในสภาล่างได้ประสบความล้มเหลวในการโน้มน้าวให้รัฐสภาอังกฤษเห็นชอบข้อตกลง Brexit ที่ได้บรรลุกับสหภาพยุโรปหรืออียูและต้องขอให้อียูขยายกรอบเวลาอนุมัติ Brexit ซึ่งก็เหมือนกับที่รัฐบาลของอดีตนายกรัฐมนตรี เทเรซา เมย์ ของพรรคอนุรักษ์นิยมต้องเผชิญประสบความล้มเหลวในการโหวตในสภาถึง 3 ครั้ง จนทำให้นาง เทเรซา เมย์ ต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ส่วนบรรดานักวิเคราะห์ก็ได้ฟันธงว่า กระบวนการ Brexit ได้ตกเข้าสู่ภาวะชะงักงันโดยสิ้นเชิง
ดังนั้น การที่พรรคอนุรักษ์นิยมมีที่นั่งข้างมากคือ 365 ที่นั่งจากจำนวนทั้งหมด 650 ที่นั่งในรัฐสภาปัจจุบันทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่ทุกข้อตกลงเกี่ยวกับ Brexit ที่รัฐบาลอังกฤษบรรลุกับอียูในเวลาที่จะถึงจะได้รับการอนุมัติ
อุปสรรคและความท้าทาย
การที่พรรคอนุรักษ์นิยมได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นเป็นสิ่งที่ผู้นำอียูรอคอย ซึ่งไม่ได้หมายความว่า อียูสนับสนุนพรรคอนุรักษ์นิยม แต่ชัยชนะของพรรคอนุรักษ์นิยมจะทำให้โอกาสในการอนุมัติ Brexit มีความชัดเจนมากขึ้น นอกจากนั้น อียูยังตั้งความหวังว่า ด้วยชัยชนะที่ท่วมท้นนี้ นายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน จะสามารถเอาชนะความสงสัยเกี่ยวกับยุโรปในพรรคอนุรักษ์นิยม และสร้างสรรค์ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับยุโรปมากขึ้น ซึ่งถือเป็นข้อสะดวกของนายกรัฐมนตรี จอห์นสัน ในกระบวนการเจรจาเกี่ยวกับข้อตกลง Brexit ฉบับใหม่กับอียู
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่า กระบวนการ Brexit ปี 2020 จะดำเนินไปอย่างราบรื่น เพราะอียูมีทัศนะที่แข็งกร้าว คือไม่ปล่อยให้อังกฤษเข้าถึงตลาดอียูโดยง่าย ถ้าหากนายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ยังคงยึดมั่นแผนการจัดทำข้อกำหนดด้านการค้าที่มีความแตกต่างจากข้อกำหนดและมาตรฐานของอียูในปัจจุบัน
นอกจากนั้น ในแง่ของเวลา นายกรัฐมนตรีอังกฤษก็อยากเสร็จสิ้นการเจรจาด้านการค้ากับอียูภายในเดือนพฤศจิกายนปี 2020 เพื่อให้ตั้งแต่ปี 2021 ความสัมพันธ์อังกฤษ-อียูจะเข้าสู่ระยะใหม่ ตามความเห็นของบรรดาผู้เชี่ยวชาญและทางการอียู การที่ทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงการค้าเสรีภายในเวลาไม่ถึง 1 ปีเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเป็นไปได้ ดังนั้น ทางการลอนดอนมีความเสี่ยงที่จะไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้าเสรีกับอียู หรือจะสามารถบรรลุข้อตกลงในระดับที่จำกัดเท่านั้น ซึ่งถ้าหากสถานการณ์นี้เกิดขึ้นก็จะเป็นความท้าทายอย่างแท้จริงต่อ Brexit
นอกจากนั้น บรรดานักวิเคราะห์ยังแสดงความเห็นว่า ฝ่ายที่คัดค้าน Brexit ในอังกฤษจะไม่ยอมแพ้โดยง่าย โดยเมื่อวันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา นายกเทศมนตรีสกอตแลนด์สังกัดสหราชอาณาจักร Nicola Sturgeon ได้เตือนว่า นายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ต้อง “เน้นถึงสถานการณ์ที่เป็นจริง” และยอมรับว่า พรรคประชาชาติชาวสก็อตหรือ SNP ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้จัดการลงประชามติเกี่ยวกับเอกราชครั้งที่ 2 ซึ่งถือเป็นสัญญาณของความพยายามใหม่เพื่อต่อต้านกระบวนการ Brexit ที่นายกรัฐมนตรี จอห์นสันและพรรคอนุรักษ์นิยมกำลังพยายามมุ่งมั่นปฏิบัติ.