ยุโรปผ่อนคลายกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่กระทบต่อภาคการเกษตร

(VOVWORLD) -จากการต้องเผชิญกับกระแสการประท้วงครั้งใหญ่ของเกษตรกรในหลายประเทศยุโรปนับตั้งแต่ต้นปีและความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อการเลือกตั้งรัฐสภายุโรปที่จะมีขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้  ในเวลาที่ผ่านมา สหภาพยุโรปได้มีปฏิบัติการเพื่อผ่อนคลายกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตร

ยุโรปผ่อนคลายกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่กระทบต่อภาคการเกษตร - ảnh 1ยุโรปผ่อนคลายกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่กระทบต่อภาคการเกษตร(Photo:AFP/TTXVN)

เมื่อวันที่ 8 เมษายน บรรดารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเกษตรของบรรดาประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปหรืออียูได้เห็นพ้องที่จะเพิ่มมาตรการใหม่ที่จำกัดการนำเข้าผลิตภัณฑ์การเกษตรจากยูเครน ซึ่งเป็นปฏิบัติการล่าสุดที่แสดงให้เห็นว่า คณะกรรมาธิการยุโรปหรืออีซีมีความประนีประนอมมากขึ้นต่อการกดดันของเกษตรกร

การเกษตรกลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจเป็นอันดับต้นๆ

การตัดสินใจที่เกี่ยวข้องถึงผลิตภัณฑ์การเกษตรที่นำเข้าจากยูเครนเป็นหนึ่งในข้อเสนอของเกษตรกรในยุโรปที่เรียกร้องให้คณะกรรมาธิการยุโรปปฏิบัติในหลายเดือนที่ผ่านมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของภาคการเกษตรยุโรป และอีกข้อเสนอที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากก็คือการผ่อนปรนข้อกำหนดและนโยบายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม การรับมือการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นปัญหาที่เกษตรกรยุโรปเห็นว่า ส่งผลกระทบต่อทักษะความสามารถในการแข่งขันของภาคการเกษตรยุโรป

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม เกษตรกรยุโรปได้รับชัยชนะในการเรียกร้องที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี โดยอีซีตัดสินใจผ่อนคลายกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมในนโยบายเกษตรร่วมหรือ CAP ของกลุ่ม เช่น อนุญาตให้ประเทศต่างๆแก้ไขปัญหาด้านที่ดินอย่างคล่องตัว ฟาร์มที่มีพื้นที่ต่ำกว่า 10 เฮกตาร์ได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดบางข้อในการตรวจสอบใน CAP โดยเฉพาะอีซีได้เลื่อนการอนุมัติกฎหมายเกี่ยวกับฟื้นฟูธรรมชาติ รวมทั้งข้อกำหนดเกี่ยวกับการที่บรรดาประเทศอียูต้องมีนโยบายเพื่อฟื้นฟูธรรมชาติในพื้นที่ทางบกและทางทะเลอย่างน้อยร้อยละ 20 ในปี 2030 นาง Anika Raisz รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเกษตรฮังการี ซึ่งเป็นประเทศที่เดินหน้าในการคัดค้านการปฏิบัติกฎหมายการฟื้นฟูธรรมชาติเห็นว่า แม้ฮังการีเป็นประเทศที่ปกป้องพื้นที่ป่าดีได้ที่สุดในยุโรปแต่ปัญหาของยุโรปในปัจจุบันคือต้องมีมุมมองที่จริงจังในการยืนหยัดความมุ่งมั่นในปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม 

“การเกษตรเป็นด้านที่สำคัญอย่างยิ่งไม่เพียงแต่ในฮังการีเท่านั้น หากยังมีความสำคัญต่อทุกประเทศยุโรปอีกด้วย ดังนั้น ดิฉันเห็นว่า ยุโรปต้องมีมุมมองที่จริงจังในการปฏิบัติเป้าหมายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและให้ความสนใจต่อทุกด้านและปัจจัยที่ช่วยให้พวกเราบรรลุเป้าหมายนี้”

 ควบคู่กับการปฏิบัติต่างๆของอีซี รัฐบาลประเทศสมาชิกอียูได้ประกาศนโยบายใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของเกษตรกร ที่ประเทศฝรั่งเศส เมื่อปลายเดือนมีนาคม วุฒิสภาฝรั่งเศสได้ลงคะแนนคัดค้านการให้สัตยาบันข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างอียูกับแคนาดาหรือ CETA ด้วยเหตุผลว่า ข้อตกลงดังกล่าวมีข้อกำหนดที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้เลี้ยงปศุสัตว์ในฝรั่งเศส ต่อจากนั้น เมื่อวันที่ 1 เมษายน รัฐบาลฝรั่งเศสได้ตัดสินใจระงับการปฏิบัติข้อกำหนดเกี่ยวกับการลดการใช้ยากำจัดศัตรูพืชในด้านการเกษตร ก่อนหน้านั้น เมื่อปลายเดือนมกราคมปีนี้ รัฐบาลฝรั่งเศสได้เพิ่มเงินอุดหนุนให้แก่เกษตรกรและปฏิบัตินโยบายให้สิทธิพิเศษด้านภาษีและพลังงาน

เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รัฐบาลสเปนได้อนุมัติกฎหมายห่วงโซ่อาหาร โดยผลักดันการปฏิบัติกองทุน มูลค่า 4 พันล้านยูโรเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรนับตั้งแต่ปี 2022 และจะเบิกจ่ายเงินจำนวน 6.8 พันล้านยูโรจาก CAP เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรสเปน ส่วนอิตาลี โปรตุเกส  กรีซ เบลเยียมและโปแลนด์ ก็ได้ปฏิบัติมาตรการช่วยเหลือด้านการเงินต่างๆ

 ประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้ง

เกษตรกรคิดเป็นร้อยละ 4.2 ของกองกำลังแรงงานของอียูและการเกษตรคิดเป็นร้อยละ 1.4 ในจีดีพีของอียูเท่านั้น ดังนั้น ในทางทฤษฎี เกษตรกรไม่ไช่กองกำลังที่สามารถสร้างแรงกดดันสูงจนรัฐบาลยุโรปต้องประนีประนอมได้  แต่อย่างไรก็ดี  นาย  Simone Tagliapietra ผู้เชี่ยวชาญของกองทุนวิจัยBruegel ที่มีสำนักงานในกรุงบรัสเซลส์เห็นว่า การเกษตรมีบทบาทที่สำคัญต่อสังคมยุโรปและถือเป็นหนึ่งในอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมยุโรป ดังนั้น ประชาชนยุโรปจึงให้การสนับสนุนเกษตรกร ตามข้อมูลสถิติของบริษัท Elabe  ของฝรั่งเศสเมื่อเดือนกรกฎาคม ประชาชนร้อยละ 87 สนับสนุนกระบวนการประท้วงของเกษตรกร ส่วนที่โปแลนด์ มีประชาชนให้การสนับสนุนร้อยละ 80   ซึ่งสร้างความวิตกกังวลให้แก่รัฐบาลประเทศต่างๆเนื่องจากพรรคขวาสุดและพรรคประชานิยมอาจอ้างความไม่พอใจของเกษตรกรเพื่อโน้มน้าวการสนับสนุนของประชาชนในการเลือกตั้งรัฐสภายุโรปที่จะมีขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้  ตามรายงานของคณะกรรมการเขตต่างๆของอียู ประชาชนในเขตชนบทในประเทศอียูมีแนวโน้มสนับสนุนพรรคขวาสุดและพรรคประชานิยมมากกว่าเขตอื่นๆ นาย Franc Bogovicสส.ยุโรปของสโลวาเกีย ได้เตือนว่า ถ้าหากอียูไม่มีมาตรการที่เร่งด่วน การเลือกตั้งยุโรปปีนี้จะเป็น”การเลือกตั้งของเกษตรกรที่โกรธแค้น” ส่วนนาย   David Clarinval,  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเกษตรเบลเยียม ซึ่งเป็นประเทศที่ดำรงตำแหน่งประธานหมุนเวียนของสภายุโรปเห็นว่า เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ต้องสร้างสรรค์รูปแบบการพัฒนาการเกษตรยุโรปอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งรับมือกับความท้าทายใหม่ 

“ต้องเฝ้าติดตามปัญหาต่างๆอย่างใกล้ชิด เช่น ราคาวัตถุดิบสูง สภาพอากาศที่แปรปรวน รายได้ต่ำของเกษตรกร สิ่งที่สำคัญคือต้องปฏิบัติมาตรการในระยะสั้นและระยะยาวเพื่อส่งเสริมรูปแบบการผลิตอย่างยั่งยืน โดยช่วยให้หน่วยงานการเกษตรของยุโปสามารถรับมือกับวิกฤตต่างๆ”

อย่างไรก็ดี บรรดาผู้สังเกตการณ์เห็นว่า ความท้าทายต่ออียูในระยะยาวคือการสร้างความสมดุลย์ในเรื่องความมุ่งมั่นด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจเป็นอันดับต้นๆของอีซีในวาระที่ผ่านมากับผลประโยชน์ขั้นพื้นฐานของเกษตรกรอียู การที่อีซีและรัฐบาลหลายประเทศอียูมีความประนีประนอมกับเกษตรกรถูกองค์การสิ่งแวดล้อมตำหนิว่า เป็นการเดินถอยหลังของยุโรปในการรับมือการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งปัญหาที่อียูต้องแก้ไขคือ กฎหมายการต่อต้านการตัดไม้ทำลายป่า การห้ามนำเข้าผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องถึงการตัดไม้ทำลายป่าในประเทศต่างๆที่คาดว่า จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปลายปีนี้ แต่กำลังถูก 20 ประเทศจากจำนวนทั้งหมด 27 ประเทศสมาชิกอียูเสนอให้ระงับการปฏิบัติ.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คำติชม

ข่าวอื่นในหมวด