(VOVWORLD) - ถึงแม้จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่พรรคและรัฐเวียดนามก็พยายามค้ำประกันสิทธิเสรีภาพในการเดินทางของพลเมืองเวียดนามและชาวต่างชาติอย่างเต็มที่บนพื้นฐานของกฎหมายเวียดนามและกฎหมายสากล
การตรวจคนเข้าเมืองในสภาวการณ์ที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (VGP News) |
สิทธิเสรีภาพในการเดินทางถูกระบุเป็นครั้งแรกในข้อ 13ของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนปี 1948 หรือ UDHR ซึ่งประกอบด้วยสิทธิเสรีภาพในการเดินทางภายในประเทศ การเดินทางออกนอกประเทศ การอพยพย้ายถิ่น การเดินทางเข้าประเทศต่างๆและการอพยพเข้าเมือง สำหรับชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าอีกประเทศและพำนักอาศัยอย่างถูกต้องตามกฎหมายของประเทศที่กำลังอยู่อาศัยนั้นมีสิทธิ์เสรีภาพในการเดินทางภายในประเทศ โดยไม่ถูกขัดขวางแต่อย่างใด
สิทธิเสรีภาพในการเดินทางมีความหมายสำคัญเป็นอย่างยิ่งเพราะสร้างพื้นฐานที่เอื้อให้บุคคลได้รับประโยชน์จากสิทธิด้านพลเรือน การเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม เป็นปัจจัยที่เอื้อให้แก่การกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมของประเทศและเป็นปัจจัยที่สำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศเพราะการพบปะสังสรรค์และการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารจะช่วยขยายความเข้าใจระหว่างประชาชนประเทศต่างๆ แก้ไขปัญหาอคติ เสริมสร้างความสามัคคี ส่งเสริมสันติภาพ คุณค่าด้านมนุษย์และความเจริญรุ่งเรืองของประชาชาติต่างๆ
การจำกัดสิทธิเสรีภาพในการเดินทางอย่างไม่สมเหตุสมผลนั้นไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบในทางลบต่อสิทธิมนุษยชนเท่านั้น หากยังขัดขวางการพัฒนาสังคมในทุกด้านอีกด้วย ดังนั้น สิทธิเสรีภาพในการเดินทางได้รับการยืนยันและปกป้องตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายของหลายประเทศ โดยที่เวียดนาม สิทธิเสรีภาพในการเดินทางถูกกำหนดเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์และพลเมืองในมาตราที่ 23ของรัฐธรรมนูญปี 2013โดยระบุว่า “พลเมืองมีสิทธิ์เดินทางและอยู่อาศัยภายในประเทศ รวมทั้งมีสิทธิ์เดินทางออกนอกประเทศและเดินทางกลับประเทศอย่างเสรี” ซึ่งสอดคล้องกับเนื้อหาเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนตามกฎหมายสากล
ข้อกำหนดเกี่ยวกับการเดินทางและพำนักอาศัยของพลเมืองเวียดนามและชาวต่างชาติในเวียดนามถูกระบุในประมวลกฎหมายแพ่ง กฎหมายว่าด้วยสัญชาติ กฎหมายการลงทุน กฎหมายการพำนักอาศัยและเอกสารกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่างๆ นอกจากนี้ รัฐบาลเวียดนามยังได้ลงนามในข้อตกลง 78 ฉบับ รวมทั้งข้อตกลงทวิภาคีเกี่ยวกับการยกเว้นวีซ่าให้แก่พลเมืองของประเทศและดินแดนต่างๆ ข้อตกลงด้านพรมแดนกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่ออำนวยความสะดวกในการสัญจรไปมาของประชาชนในภูมิภาค
สิ่งที่น่าสนใจคือแม้จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่พรรคและรัฐก็ได้พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อค้ำประกันคำมั่นและหน้าที่ระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพในการเดินทางของประชาชน โดยในช่วงที่เวียดนามยังไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้นั้น การตัดสินใจปฏิบัติการเว้นระยะห่างทางสังคมในทั่วประเทศของนายกรัฐมนตรีในช่วงต่างๆเป็นสิ่งที่จำเป็น สอดคล้องกับกฎหมายสากล กฎหมายของเวียดนามและยังค้ำประกันสิทธิเสรีภาพในการเดินทางของประชาชนตามมาตราที่ 12 ของอนุสัญญาระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิด้านพลเรือนและการเมืองหรือ ICCPR ปี1966 ที่ระบุว่า สิทธิเสรีภาพในการเดินทางอาจต้องปฏิบัติในขอบเขตที่จำกัดตามข้อกำหนดกฎหมายและถือเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อรักษาความมั่นคงแห่งชาติ ความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสถานสาธารณะ สุขภาพ จริยธรรมทางสังคม หรือ เพื่อสิทธิเสรีภาพของคนอื่น ส่วนตามข้อที่ 2 มาตราที่ 14 ของรัฐธรรมนูญปี 2013 “สิทธิของมนุษย์และสิทธิพลเมืองอาจถูกจำกัดตามข้อกำหนดของกฎหมายในกรณีที่จำเป็นด้วยเหตุผลด้านการป้องกันประเทศ ความมั่นคงแห่งชาติ ความปลอดภัย ความเป็นระเบียบเรียบร้อยทางสังคม จริยธรรมทางสังคมและสุขภาพของประชาชนเท่านั้น”
การพาพลเมืองเวียดนามจากประเทศสาธารณรัฐอิเควทอเรียลกินีกลับประเทศ (VNA) |
ทั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า สิทธิเสรีภาพในการเดินทางคือปัจจัยที่สำคัญในสิทธิของมนุษย์ในสภาวการณ์ที่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้สร้างภัยคุกคามต่อสุขภาพของชุมชน ซึ่งการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีเป็นสิ่งที่จำเป็นและทันการณ์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด สิ่งที่สำคัญกว่านี้คือการตัดสินใจดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากประชาชนด้วยการตระหนักได้ดีเกี่ยวกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19และความสำคัญของการควบคุมการแพร่ระบาด โดยความสำเร็จในการปฏิบัติการเว้นระยะห่างทางสังคมในช่วงต่างๆได้มีส่วนร่วมต่อการควบคุมการแพร่ระบาดถือเป็นการพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนที่สุด
จากอีกมุมมองหนึ่ง พรรคและรัฐเวียดนามยังได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษและมีมาตรการบริหารจัดการงานด้านการตรวจคนเข้าเมืองอย่างเข้มงวดในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาด โดยตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม เวียดนามได้ระงับการออกวีซ่าเข้าเมืองเป็นเวลา 30 วันให้แก่ชาวต่างชาติ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม ซึ่งสิ่งนี้สอดคล้องกับกฎหมายสากล โดยในความเห็นทั่วไปที่ 27 ของคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนปี 1999 เกี่ยวกับการแปรมาตราที่ 12 ของ ICCPR ระบุว่า การอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้าประเทศและรับรองฐานะของชาวต่างชาติตามกฎหมายต้องอิงตามข้อกำหนดทางกฎหมายและหน้าที่ระหว่างประเทศของประเทศนั้นๆ ดังนั้นในกฎหมายของเวียดนาม สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สามารถปฏิบัติได้เพราะสิทธิเสรีภาพในการเดินทางมิใช่สิทธิที่มีหลักการตายตัว หากอาจถูกจำกัดในกรณีที่จำเป็นด้วยเหตุผลเพื่อการป้องกันประเทศ ความมั่นคงแห่งชาติ ความปลอดภัย ความเป็นระเบียบเรียบร้อยทางสังคม จริยธรรมทางสังคมและสุขภาพของชุมชน”
ในสภาวการณ์ที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในทั่วโลกและอุตสาหกรรมการบินถูกระงับการใช้งาน พรรคและรัฐเวียดนามได้พยายามจัดเที่ยวบินพาพลเมืองเวียดนามเกือบ 5 หมื่นคนจาก 48 ประเทศและดินแดนกลับประเทศอย่างปลอดภัย ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการปฏิบัติตามคำมั่นที่จะค้ำประกันสิทธิการเดินทางเข้าประเทศของพลเมืองเวียดนามทุกคนตามรัฐธรรมนูญปี 2013 และเอกสารทางกฎหมายระหว่างประเทศเท่านั้น หากยังแสดงให้เห็นถึงแนวคิดแห่งความเป็นมนุษย์ของพรรค รัฐและประชาชนเวียดนามต่อชาวเวียดนามโพ้นทะเลอีกด้วย
หลังจากเวียดนามสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นอย่างดีแล้ว ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน ก็ได้อนุญาตให้ฟื้นฟูเส้นทางบินไปยังบางประเทศและดินแดนในภูมิภาคและอนุญาตให้ผู้โดยสารบางส่วนเดินทางเข้าเวียดนาม ส่วนสายการบินต่างๆ เช่น สายการบิน Vietnam Airlines และ Vietjet Air ก็ได้เริ่มฟื้นฟูเส้นทางบินไปยังประเทศที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาด เช่น ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลีและไต้หวัน ประเทศจีนเพื่อตอบสนองความต้องการด้านการศึกษาและทำงานของชาวเวียดนามและชาวต่างชาติ
จากการสานต่อผลงานต่างๆในเวลาที่ผ่านมา โดยเฉพาะในปี 2020 พรรคและรัฐเวียดนามจะค้ำประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมือง รวมทั้งสิทธิเสรีภาพในการเดินทางบนพื้นฐานของกฎหมายเวียดนามและกฎหมายสากล มีส่วนร่วมต่อสันติภาพ เสถียรภาพ ความเจริญรุ่งเรืองและการพัฒนาของประชาคมโลก.