เมื่อเสียงระฆังดังขึ้นเวลาตี 5 ครึ่ง  เหล่าทหารตัวน้อยๆ 102 คนต้องตื่นนอนทันที พับผ้าห่มและเข้าแถวที่สนามฝึกเพื่อออกกำลังกาย โดยการใช้ชีวิตในค่ายทหาร เด็กเหล่านี้ต้องปฏิบัติกิจวัตรและหน้าที่ต่างๆตามเสียงระฆังเหมือนทหารจริงๆ อย่างเช่น เมื่อถึงเวลาทานข้าว จะต้องยกก้าวอี้ไปยังโรงอาหารและเก็บจานเมื่อทานเสร็จแล้ว และต้องเดินเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบเมื่อครูฝึกเรียก ดังนั้นในช่วงแรกๆ เด็กๆจึงรู้สึกท้อมาก เด็กชายเหงียนดึ๊กฮุย นักเรียนม. 2 โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นเตินโหย อำเภอดานเฝือง กรุงฮานอย ซึ่งเป็นลูกชายคนเดียวจึงได้รับการเลี้ยงอย่างประคบประหงมมากเกินไปจนทำอะไรก็ไม่เป็นแต่เมื่อเข้าร่วมค่ายฝึกทหาร เด็กชายฮุยและเพื่อนๆต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบเหมือนทหารจริงๆ เช่น ไม่ได้เล่นเกมส์ ไม่ใช้โทรศัพท์มือถือและต้องช่วยเหลือตัวเอง เช่น ซักผ้า เป็นต้น ในช่วงแรก เด็กชายฮุยร้องไห้ทั้งวันและขอกลับบ้านแต่หลังจากได้ฟังคำอธิบายและกำลังใจจากอาสาสมัครและเจ้าหน้าที่ทหารเป็นเวลา 4 วัน เขาค่อยๆรู้สึกชื่นชอบและเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆพร้อมกับเพื่อนๆอย่างสนุกสนาน เด็กชายฮุยบอกว่า “เวลาตี 5ครึ่ง ผมถูกปลุกจากที่นอน วันแรกๆรู้สึกโกรธมากแต่หลังจากนั้น 4 วันก็เริ่มปรับตัวได้ บางทีตอนมีสัญญาณปลุก ผมก็ตื่น พับผ้าห่ม แปรงฟันและล้างหน้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนอยู่บ้านผมไม่เคยพับผ้าห่มแต่เมื่อเข้าค่ายฝึกทหาร ผมได้เรียนรู้หลายอย่างและขอสัญญาว่าเมื่อกลับบ้านผมก็จะทำตัวมีระเบียบวินัยเช่นนี้ต่อไป”

เนื่องจากได้รับการเลี้ยงอย่างประคบประหงมจากพ่อแม่ เด็กทุกคนต่างรู้สึกว่าการปรับตัวให้เข้ากับกฎระเบียบของทหารเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก คุณเหงียนเตื่องมิงห์ อาสาสมัครคนหนึ่งที่ดูแลให้คำแนะนำและช่วยเหลือเด็กๆในค่ายฝึกทหารเผยว่า วันแรกๆที่เข้าร่วมค่ายฝึกทหาร เด็กๆส่วนใหญ่ร้องไห้เพราะคิดถึงบ้านและไม่คุ้นเคยกับกฎระเบียบทหารที่เข้มงวด โดยเฉพาะพ่อแม่ของเด็กคนหนึ่งต้องมารับลูกกลับหลังเข้าค่ายฝึกเพียงสองวันเท่านั้น ดังนั้นอาสาสมัครทุกคนต้องมีความอดทนเพื่อรับฟังความคิดเห็น วิเคราะห์และให้กำลังใจเด็กๆเพื่อช่วยพวกเขาสามารถปรับตัวและอยู่กับเพื่อนๆได้ คุณมิงห์กล่าวว่า “อาสาสมัครอย่างพวกเรามีหน้าที่แนะนำและช่วยเหลือเด็กๆ โดยเฉพาะการปรับตัวเข้ากับบรรยากาศในค่ายทหารซึ่งแตกต่างจากที่บ้านมาก สำหรับเด็กที่ไม่เชื่อฟัง อาสาสมัครต้องมีความอดทนเป็นพิเศษเพื่ออธิบายและให้กำลังใจเด็กๆ โดยเฉพาะในปีนี้ เด็กที่เข้าค่ายฝึกทหารมีอายุน้อยกว่าปีก่อนๆ ซึ่งเราต้องมีความคล่องตัวและเข้าใจเด็กๆให้มาก”

ค่ายฝึกทหารเปิดในช่วงฤดูร้อนของทุกๆปีโดยศูนย์เยาวชนและยุวชนส่วนกลางสังกัดกองเยาวชนคอมมิวนิสต์โฮจิมินห์จัดขึ้นนับตั้งแต่ปี 2009 ซึ่งในปีนี้มีเด็ก 102 คนอายุวัยระหว่าง11-17 ปีจาก 13 จังหวัดและนครทั่วประเทศเข้าร่วม นายบุ่ยหงอกมิงห์ รองผู้อำนวยการศูนย์เผยว่า นอกจากการเรียนรู้และศึกษาเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของทหารเวียดนามแล้ว เด็กๆยังได้เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ เช่น การปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ เขียนจดหมายถึงครอบครัวเพื่อปลูกฝังจิตสำนึกเกี่ยวกับความรักครอบครัวและเพื่อนๆ พร้อมทั้งทำกิจกรรมต่างๆเพื่อปรับตัวและเพิ่มทักษะความสามารถในการทำงานเป็นทีม นอกจากนี้ยังได้ฝึกระเบียบวินัยและการช่วยเหลือตนเอง “วันสุดท้ายก่อนกลับบ้าน ผมมักจะถามเด็กๆว่า อยากอยู่ที่นี่อีก 10 หรือ 20 วันไหม ทุกคนต่างตอบว่า อยาก  จากที่เด็กบางคนร้องไห้เพื่อขอกลับบ้านในวันแรกๆแต่ตอนนี้ทุกคนอยากอยู่ที่นี่ ซึ่งพวกเราดีใจมาก ผู้ปกครองของเด็กบางคนมีหน้ามีตาในสังคมแต่เมื่อมาที่นี่เด็กๆทุกคนต่างๆด้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันเพื่อสร้างสรรค์จิตสำนึกให้แก่เด็กเกี่ยวกับชีวิตแบบชุมชน นี่คือเป้าหมายของพวกเรา”

นับวันโครงการ “ค่ายฝึกทหาร” เป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมในช่วงปิดเทอมจากผู้ปกครองและเด็กๆเพิ่มมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์เพื่อให้เด็กๆศึกษาหาความรู้ ลองใช้ชีวิตแบบทหาร ฝึกระเบียบวินัย ความสามัคคี ทักษะการใช้ชีวิตและสั่งสมประสบการณ์เพื่อเมื่อโตขึ้นจะได้เป็นคนที่มีระเบียบวินัย เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ./.